มิตรเทียม
ดูกรคฤหบดีบุตร คน ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ
คนนำสิ่งของๆเพื่อนไปถ่ายเดียว [คนปอกลอก] ๑
คนดีแต่พูด ๑
คนหัวประจบ ๑
คนชักชวนในทางฉิบหาย ๑
ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรเป็นแต่คนเทียมมิตร
ดูกรคฤหบดีบุตร คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ
เป็นคนคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๑
เสียให้น้อยคิดเอาให้ได้มาก ๑
ไม่รับทำกิจของเพื่อนในคราวมีภัย ๑
คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๑
ดูกรคฤหบดีบุตร คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรเป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูกรคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ
เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย ๑
อ้างเอาของที่ยังไม่มาถึงมาปราศรัย ๑
สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑
เมื่อกิจเกิดขึ้นแสดงความขัดข้อง [ออกปากพึ่งมิได้] ๑
ดูกรคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูกรคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ
ตามใจเพื่อนให้ทำความชั่ว [จะทำชั่วก็คล้อยตาม] ๑
ตามใจเพื่อนให้ทำความดี [จะทำดีก็คล้อยตาม] ๑
ต่อหน้าสรรเสริญ ๑
ลับหลังนินทา ๑
ดูกรคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูกรคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ
ชักชวนให้ดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ๑
ชักชวนให้เที่ยวดูการมหรสพ ๑
ชักชวนให้เล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ดูกรคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรเป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
บัณฑิตรู้แจ้งมิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรปอกลอก ๑ มิตรดีแต่พูด ๑ มิตรหัวประจบ ๑ มิตรชักชวนในทางฉิบหาย ๑ ว่าไม่ใช่มิตรแท้ ดังนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทางเว้นทางที่มีภัย ฉะนั้น
มิตรแท้
ดูกรคฤหบดีบุตร มิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ
มิตรมีอุปการะ ๑
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑
มิตรแนะประโยชน์ ๑
มิตรมีความรักใคร่ ๑
ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตรมีใจดี [เป็นมิตรแท้]
ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑
รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑
เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑
เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้นเพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า [เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก] ๑
ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
บอกความลับ [ของตน] แก่เพื่อน ๑
ปิดความลับของเพื่อน ๑
ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย ๑
แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ๑
ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
ห้ามจากความชั่ว ๑
ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑
ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑
บอกทางสวรรค์ให้ ๑
ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน ๑
ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน ๑
ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน ๑
สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน ๑
ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
บัณฑิตรู้แจ้งมิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ว่าเป็นมิตรแท้ ฉะนี้แล้ว พึงเข้าไปนั่งใกล้โดยเคารพ เหมือนมารดากับบุตร ฉะนั้น
การใช้สอยโภคทรัพย์
บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมรุ่งเรืองส่องสว่างเพียงดังไฟ เมื่อบุคคลออมโภคสมบัติอยู่ เหมือนแมลงผึ้งผนวกรัง โภคสมบัติย่อมถึงความสั่งสมดุจจอมปลวกอันตัวปลวกก่อขึ้น ฉะนั้น
คฤหัสถ์ในตระกูลผู้สามารถ ครั้นสะสมโภคสมบัติได้อย่างนี้แล้ว พึงแบ่งโภคสมบัติออกเป็นสี่ส่วน เขาย่อมสมานมิตรไว้ได้
พึงใช้สอยโภคสมบัติด้วยส่วนหนึ่ง พึงประกอบการงานด้วยสองส่วน พึงเก็บส่วนที่สี่ไว้ด้วยหมายว่าจักมีไว้ในยามอันตราย ดังนี้
อ้างอิง : สิงคาลกสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ ข้อ ๑๘๖-๑๙๗ หน้า ๑๔๒-๑๔๔