สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เภสกฬามฤคทายวันใกล้บ้านสุงสุมารคีระ แคว้นภัคคะ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนกุลบิดาคฤหบดี แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้
ครั้งนั้นแล คฤหบดีผู้นกุลบิดาและคฤหปตานีผู้นกุลมารดา เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว คฤหบดีผู้นกุลบิดาได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ตระกูลนำคฤหปตานีผู้นกุลมารดา ซึ่งยังเป็นสาว มาเพื่อข้าพระองค์ ผู้ยังเป็นหนุ่ม
ข้าพระองค์ มิได้รู้สึกจะประพฤตินอกใจคฤหปตานีผู้นกุลมารดา แม้ด้วยใจเลย ที่ไหนจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า
ข้าพระองค์ทั้งสอง ปรารถนาพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ”
แม้คฤหปตานีผู้นกุลมารดา ก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ตระกูลนำหม่อมฉัน ซึ่งยังเป็นสาว มาเพื่อคฤหบดีผู้นกุลบิดา ซึ่งยังเป็นหนุ่ม
หม่อมฉันมิได้รู้สึกจะประพฤตินอกใจ คฤหบดีผู้นกุลบิดา แม้ด้วยใจเลย ที่ไหนจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า
หม่อมฉันทั้งสอง ปรารถนาพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“ดูกรคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง หวังจะพบกันและกัน ...ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพไซร้
ทั้งสองเทียวพึงเป็น…
ผู้มีศรัทธาเสมอกัน
มีศีลเสมอกัน
มีจาคะเสมอกัน
มีปัญญาเสมอกัน
ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น
ย่อมได้พบกันและกัน...
ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ
มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม
เจรจาคำที่น่ารักแก่กันและกัน
ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก
ทั้งสองฝ่ายมีศีลเสมอกัน
รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อกัน
ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว
ทั้งสองเป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกัน
ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลิน บันเทิงใจอยู่ในเทวโลก
อ้างอิง : สมชีวิสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ ข้อ ๕๕ หน้า ๖๐