สมัยนั้น ทาริกาชื่อ สุชาดา บังเกิดในเรือนของเสนากุฎุมพี ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พอเจริญวัยแล้ว ได้กระทำความปรารถนาที่ต้นไทรแห่งหนึ่งว่า ถ้าเราไปยังเรือนสกุลที่มีชาติเสมอกัน ได้บุตรชายในครรภ์แรก เราจักทำพลีกรรม โดยบริจาคทรัพย์แสนหนึ่งแก่ท่านทุกปี ๆ ความปรารถนาอันนั้นของนางก็สำเร็จแล้ว

เมื่อพระมหาสัตว์นั้นกระทำทุกรกิริยา เมื่อครบปีที่ ๖ บริบูรณ์ นางสุชาดานั้นประสงค์จะพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ มีความประสงค์จะทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ ด้วยข้าวปายาสแก่เทวดา



เช้าตรู่ นางสุชาดานั้นลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี ให้รีดนมโคนม ๘ ตัว ลูกโคทั้งหลายยังไม่ได้ไปถึงเต้านมเหล่านั้น แต่พอนำภาชนะใหม่เข้าไปใกล้เต้านมเท่านั้น ธารน้ำนมก็ไหลออกตามธรรมดาของตน

นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์นั้น จึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเอง ใส่ลงในภาชนะใหม่ แล้วก่อไฟด้วยมือของตนเอง เริ่มจะหุง เมื่อกำลังหุงข้าวปายาสนั้นนั่นแหละ ฟองใหญ่ ๆ ตั้งขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ แม้หยาดสักหยดหนึ่งก็ไม่หกออกภายนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อย ก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตา

นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อยซึ่งปรากฏแก่ตนในที่นั้น โดยวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า

"แน่ะแม่ปุณณา วันนี้ เทวดาของเราทั้งหลายน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ในกาลมีประมาณเท่านี้ เราไม่เคยเห็นความอัศจรรย์เห็นปานนี้ เธอจงรีบไปดูแลเทวสถานโดยเร็ว"

นางปุณณาทาสีนั้นรับคำของนางสุชาดานั้นแล้ว ได้รีบด่วนไปยังโคนต้นไม้



สถูปบ้านนางสุชาดา

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ทรงเห็นมหาสุบิน ๕ ประการ ในตอนกลางคืนนั้น ทรงใคร่ครวญว่า วันนี้เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้า

พอราตรีนั้นล่วงไป ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ คอยเวลาภิกขาจารอยู่ พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ทรงกระทำโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยรัศมีของพระองค์

ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนไม้ ทอดพระเนตรดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ และเพราะได้เห็นต้นไม้ทั้งสิ้นมีสีดังสีทอง ด้วยพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระโพธิสัตว์นั้น นางจึงได้คิดดังนี้ว่า

"วันนี้ เทวดาของเราทั้งหลายเห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อจะรับพลีกรรมด้วยมือของตนเองทีเดียว"

นางสุชาดาใส่ข้าวปายาสลงในถาดทองคำ เอาถาดอื่นครอบถาดนั้น แล้วเอาผ้าขาวพันห่อไว้ ทูนบนศีรษะของตน ไปยังโคนต้นไทร เห็นพระโพธิสัตว์แล้ว  เกิดปีติโสมนัสเป็นกำลัง ด้วยสำคัญว่าเป็นเทวดา จึงค้อมกายลงเดินไป ปลงถาดลงจากศีรษะแล้ว เปิดฝาเอาสุวรรณภิงคารใส่น้ำอันอบด้วยดอกไม้หอมได้เข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ พระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์เหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับ นางสุชาดาจึงวางข้าวปายาสพร้อมทั้งถาดทองลงบนพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ ถวายบังคม แล้วทูลว่า

“มโนรถของดิฉันสำเร็จแล้ว ฉันใด แม้มโนรถของท่านก็จงสำเร็จ ฉันนั้น” แล้วหลีกไป



รูปปั้นจำลองขณะนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส ณ หมู่บ้านคยา

ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ ทรงถือถาดเสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงวางถาดที่ฝั่งแห่งท่าชื่อว่าสุปติฏฐิตะ (สุประดิษฐ์) นั้น เสด็จลงสรงสนาน เสร็จแล้ว ทรงนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงกระทำให้เป็นปั้น ๔๙ ปั้น แล้วเสวยข้าวมธุปายาสทั้งหมด ข้าวปธุปายาสนั้นได้เป็นกระยาหารให้อยู่ได้ ๔๙ วัน ตลอด ๗ สัปดาห์

ก็พระโพธิสัตว์ ครั้นเสวยข้าวปายาสนั้นแล้ว จับถาดทอง ทรงอธิษฐานว่า

“ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ ถาดนี้จงทวนกระแสน้ำได้”

แล้วทรงลอยถาดไปในกระแสน้ำ ถาดนั้นตัดกระแสน้ำไปยังกลางแม่น้ำประมาณ ๘๐ ศอก แล้วจมลง ณ น้ำวนแห่งหนึ่ง ไปถึงภพพญากาฬนาคราช กระทบถาดของพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์บ่ายพระพักตร์ไปยังต้นโพธิ์



สถูปลอยถาด ณ ริมแม่น้ำเนรัญชรา

ก็สมัยนั้น คนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ ถวายหญ้า ๘ กำมือ พระโพธิสัตว์ทรงถือหญ้าเสด็จขึ้นสู่โพธิมณฑล ทรงกระทำลำต้นโพธิ์ไว้เบื้องปฤษฎางค์ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงมีพระมนัสมั่นคง ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ อธิษฐานว่า


"เนื้อและเลือดในสรีระจะเหือดแห้งไปหมดสิ้น จะเหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้"

 

 

อ้างอิง : อวิทูเรนิทาน