มหาวิทยาลัยนาลันทา

สองสหายอำลาอาจารย์  

ครั้งนั้น โมคคัลลานปริพาชกได้กล่าวชักชวนสารีบุตรปริพาชกว่า

“ผู้มีอายุ เราพากันไปสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด เพราะพระผู้มีพระภาคนั้น เป็นพระศาสดาของเรา”

สารีบุตรปริพาชกกล่าวว่า “ผู้มีอายุ ปริพาชก ๒๕๐ คน นี้อาศัยเรา เห็นแก่เรา จึงอยู่ในสำนักนี้ เราจงบอกกล่าวพวกนั้นก่อน พวกนั้นจักทำตามที่เข้าใจ”

ลำดับนั้น สารีบุตรและโมคคัลลานะพากันเข้าไปหาปริพาชกเหล่านั้น แล้วกล่าวต่อพวกปริพาชกนั้นว่า  “ท่านทั้งหลาย เราจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของเรา”     

พวกปริพาชกตอบว่า “พวกข้าพเจ้าอาศัยท่าน เห็นแก่ท่าน จึงอยู่ในสำนักนี้ ถ้าท่านจักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะด้วย”    



ต้นอชปาลนิโครธในบริเวณมหาวิทยาลัยนาลันทา

สารีบุตรและโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปหาท่านสญชัยปริพาชก แล้วเรียนว่า “ท่านขอรับ พวกกระผมจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้น เป็นพระศาสดาของพวกกระผม”

แม้ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓ สญชัยปริพาชกก็พูดห้ามว่า “อย่าเลย ท่านทั้งหลาย อย่าไปเลย เราทั้งหมด ๓ คนจักช่วยกันบริหารคณะนี้”

ครั้งนั้น สารีบุตรและโมคคัลลานะพาปริพาชก ๒๕๐ คนนั้น มุ่งไปทางที่จะไปพระวิหารเวฬุวัน โลหิตร้อนก็ได้พุ่งออกจากปากสญชัยปริพาชกในที่นั้นเอง

ทรงพยากรณ์พระอัครสาวก  

พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นสารีบุตรโมคคัลลานะมาแต่ไกล ครั้นแล้ว ทรงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหายสองคนนั้น คือ โกลิตะและอุปติสสะ กำลังมานั่น จักเป็นคู่สาวกของเรา จักเป็นคู่อันเจริญชั้นเยี่ยมของเรา ก็สหายสองคนนั้นพ้นวิเศษแล้วในธรรมอันเป็นที่สิ้นอุปธิ อันยอดเยี่ยม มีญาณวิสัยอันลึกซึ้ง”

 แม้ยังมาไม่ทันถึงพระวิหารเวฬุวัน พระศาสดาก็ได้ทรงพยากรณ์โกลิตะและอุปติสสะว่า จักเป็นคู่สาวก คู่อันเจริญชั้นเยี่ยม    



เฝ้าทูลขอบรรพชาอุปสมบท  

ครั้งนั้น สารีบุตรและโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้ว ได้ซบเศียรลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า

“ขอพวกข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า”

“พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” 

พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น

 

 

อ้างอิง : พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๔ ข้อที่ ๗๐-๗๒ หน้า ๕๙-๖๐