ถ้ำปิปผลิคูหา

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปนั่งเข้าสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่โดยบัลลังก์เดียวที่ถ้ำปิปผลิคูหา สิ้น ๗ วัน

ครั้นพอล่วง ๗ วันนั้นไป ท่านพระมหากัสสปก็ออกจากสมาธินั้น ได้มีความคิดว่า

“ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์เถิด”

ก็สมัยนั้นแล เทวดาประมาณ ๕๐๐ ถึงความขวนขวายเพื่อจะให้ท่านพระมหากัสสปได้บิณฑบาต  ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระมหากัสสปห้ามเทวดาประมาณ ๕๐๐ เหล่านั้น แล้วนุ่งผ้าอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์

สมัยนั้น ท้าวสักกะจอมเทพมีความประสงค์จะถวายบิณฑบาตแก่ท่านพระมหากัสสป ได้เคยส่งเทวดามีประมาณ ๕๐๐ ไปด้วยพระดำรัสว่า

“พระผู้เป็นเจ้ามหากัสสปเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ พวกเธอจงไปถวายทานแด่พระเถระ”

เทวดาเหล่านั้นจึงเข้าไปหาแล้ว ยืนประสงค์จะถวายอาหารทิพย์ ถูกพระเถระห้าม จึงกลับไปยังเทวโลกตามเดิม

บัดนี้ เทวดาคิดถึงการห้ามครั้งก่อน จึงคิดว่า “พระเถระจะรับในกาลบางคราว” มีความประสงค์จะถวายทานแก่พระเถระผู้ออกจากสมาบัติ จึงไม่กราบทูลให้ท้าวสักกะทรงทราบ มากันเอง น้อมโภชนะอันเป็นทิพย์เข้าไปถวาย ถูกพระเถระห้ามไว้โดยนัยก่อนเหมือนกัน จึงกลับไปเทวโลก ถูกท้าวสักกะถามว่า

“พวกเธอไปไหนมา”

พวกเทวดาจึงกราบทูลความนั้น ท้าวสักกะถามต่อว่า

“พวกเธอถวายบิณฑบาตแก่พระเถระแล้วหรือ”

 พวกเทวดา จึงทูลว่า

“ท่านไม่ปรารถนาจะรับ”

“ท่านพูดว่าอย่างไร”

“ข้าแต่เทวะ ท่านพูดว่า จะสงเคราะห์คนเข็ญใจ

“พวกเธอไปโดยอาการอย่างไร”

“ไปด้วยอาการนี้แหละ พระเจ้าข้า”

“ผู้เช่นพวกเธอจักถวายบิณฑบาตแด่พระเถระได้อย่างไร”

ท้าวสักกะมีพระประสงค์จะถวายด้วยพระองค์เอง จึงแปลงเป็นช่างหูก แก่ชรา ฟันหัก ผมหงอก หลังค่อม ทำแม้นางสุชาดาผู้เป็นอสุรธิดาให้เป็นหญิงแก่เช่นนั้นเหมือนกัน แล้วนิรมิตถนนแห่งคนช่างหูกสายหนึ่ง ท้าวสักกะแสร้งทำเหมือนทอผ้าอยู่ นางสุชาดาแสร้งทำเหมือนกรอด้ายอยู่

พระเถระครองผ้าแล้วถือบาตรและจีวร เดินมุ่งหน้าไปยังพระนครด้วยหมายว่า จักสงเคราะห์คนเข็ญใจ ดำเนินไปตามถนนช่างหูกที่ท้าวสักกะนิรมิตไว้นอกพระนคร ตรวจดูอยู่ได้เห็นศาลเก่าพังพะเยิบพะยาบ และสามีภรรยาทั้งสองผู้มีรูปร่างดังกล่าวแล้ว กำลังทอผ้าอยู่ในศาลานั้น ครั้นเห็นแล้ว จึงคิดว่า

“สองผัวเมียนี้แม้ในเวลาแก่ก็ยังทำการงานอยู่ ในเมืองนี้เห็นจะไม่มีคนที่เข็ญใจกว่าสองผัวเมียนี้ เราจักรับสิ่งที่สองผัวเมียนี้ให้ แม้มาตรว่าผักดองเพื่อสงเคราะห์สองผัวเมียนี้”

ท่านจึงเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของสองผัวเมียนั้น

ท้าวสักกะเห็นพระเถระกำลังเดินมา จึงตรัสกะนางสุชาดาว่า

“แน่ะเธอ พระคุณเจ้าของเรากำลังมาที่นี้ เจ้าจงนั่งนิ่งทำเป็นเหมือนไม่เห็นท่าน เราจะลวงชั่วขณะ แล้วจึงถวายบิณฑบาต”

พระเถระได้ไปยืนอยู่ที่ประตูเรือน ฝ่ายสองผัวเมียนั้นทำเป็นไม่เห็น ทำแต่งานของตนอย่างเดียว รอเวลาหน่อยหนึ่ง

ลำดับนั้น ท้าวสักกะตรัสว่า

“ดูเหมือนพระเถระรูปหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้าน เธอจงใคร่ครวญดูซิ”

นางทูลว่า

“โปรดไปใคร่ครวญดูเถอะนาย”

ท้าวสักกะออกจากเรือน ไหว้พระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เอามือทั้งสองยันเข่าลุกขึ้น ถามว่า

“พระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเถระรูปไหนหนอ”

จากนั้น ทำทีถอยไปหน่อยหนึ่งแล้วตรัสว่า

“นัยน์ตาของเรามืดมัว”

แล้วจึงป้องพระหัตถ์ที่หน้าผากเงยขึ้นดู ตรัสว่า

“โอ ตายจริง พระมหากัสสปเถระผู้เป็นเจ้าของเรามายังประตูกระท่อมของเรานานแล้ว ในเรือนมีอะไรบ้างหรือ”

นางสุชาดาทำเป็นกุลีกุจอหน่อยหนึ่งแล้วให้คำตอบว่า

“มีจ้ะนาย”

ท้าวสักกะตรัสว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านไม่คิดว่าเศร้าหมองหรือประณีต โปรดสงเคราะห์โยมเถิด” ดังนี้ แล้วจึงรับบาตร

ฝ่ายพระเถระเมื่อจะให้บาตร คิดว่า

“เราควรสงเคราะห์คนเข็ญใจแก่ชราเหล่านี้แหละ”

ท้าวสักกะนั้น เข้าไปข้างใน คดข้าวสุกในหม้อออกจากหม้อใส่เต็มบาตร แล้ววางไว้ในมือพระเถระ 

บิณฑบาตนั้น ในเวลาวางไว้ในมือของพระเถระ ตลบไปด้วยกลิ่นทิพย์ของตนทั่วกรุงราชคฤห์ ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า

“บุรุษนี้มีศักดิ์น้อย แต่บิณฑบาตของเขาประณีตยิ่งนัก เสมือนโภชนะของท้าวสักกเทวราช นั่นใครหนอ”

ลำดับนั้น พระเถระทราบว่าท่านเป็นท้าวสักกะ จึงกล่าวว่า

“ดูกรท้าวโกสีย์ ข้อที่พระองค์แย่งสมบัติของคนเข็ญใจ จัดว่าทำกรรมหนักแล้ว วันนี้คนเข็ญใจบางคนถวายทานแก่อาตมาแล้ว พึงได้ตำแหน่งเสนาบดีหรือตำแหน่งเศรษฐี”

“ใครที่เข็ญใจกว่าข้าพเจ้ามีอยู่หรือ พระคุณเจ้า”

“พระองค์เสวยสิริราชสมบัติในเทวโลก จะเป็นคนเข็ญใจได้อย่างไร”

“ข้อนั้นชื่อว่าเป็นอย่างนั้นนะ พระคุณเจ้า ก็ข้าพเจ้าได้กระทำกรรมอันงามไว้ ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น แต่เมื่อพุทธุปบาทกาลเป็นไปอยู่ เทวบุตร ๓ องค์ นี้ คือ จูฬรถเทวบุตร มหารถเทวบุตร อเนกวัณณเทวบุตร กระทำบุญกรรมแล้วเกิดในที่ใกล้กับข้าพเจ้า มีเดชมากกว่าข้าพเจ้า เมื่อเทวบุตรเหล่านั้นคิดจะเล่นงานนักขัตฤกษ์ จึงพานางบำเรอลงสู่ระหว่างถนน ข้าพเจ้าจึงหนีเข้าเรือน เพราะเดชจากสรีระของเทพบุตรเหล่านั้น กลบร่างของข้าพเจ้า เดชจากร่างของข้าพเจ้าหาได้กลบร่างของเทพบุตรเหล่านั้นไม่ ใครจะเป็นผู้เข็ญใจกว่าข้าพเจ้าล่ะ พระคุณเจ้า”

“แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่นี้ไป พระองค์อย่าลวงอย่างนี้ แล้วถวายทานแก่อาตมา”

“เมื่อข้าพเจ้าลวงถวายทานแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะมีกุศลหรือไม่มี”

“มี อาวุโส”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าการทำกุศลเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าเถิด พระคุณเจ้า”

ดังนี้แล้ว จึงนมัสการพระเถระ พานางสุชาดาทำประทักษิณพระเถระแล้วเหาะไป เปล่งอุทานขึ้น ๓ ครั้งว่า

“น่าอัศจรรย์ ทานที่เราตั้งไว้ดีแล้ว
ในพระกัสสป เป็นทานอย่างยิ่ง

น่าอัศจรรย์ ทานที่เราตั้งไว้ดีแล้ว
ในพระกัสสป เป็นทานอย่างยิ่ง

น่าอัศจรรย์ ทานที่เราตั้งไว้ดีแล้ว
ในพระกัสสป เป็นทานอย่างยิ่ง”

ท้าวสักกะจอมเทพเกิดพระหฤทัยน่าอัศจรรย์ว่า

“เพราะเหตุที่เรากระทำความยำเกรงด้วยมือของตนโดยเคารพ แด่พระผู้เป็นเจ้ามหากัสสปเถระผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ แล้วทำสัมมาทิฏฐิไม่ให้เปลี่ยนแปลง ไม่ให้กระทบกระทั่งผู้อื่นโดยกาล จึงถวายทานด้วยโภชนะเป็นทิพย์เช่นนี้ ฉะนั้น เพราะเราเป็นผู้ประกอบด้วยสมบัติ ๓ ประการ คือ เขตสมบัติ ไทยสมบัติ และจิตสมบัติ จึงบำเพ็ญทานอันสมบูรณ์ด้วยองค์ทั้งปวงหนอ”

ในคราวนั้น เมื่อจะหลั่งออกซึ่งปีติและโสมนัสที่อยู่ภายในพระหฤทัยของพระองค์ จึงกล่าวว่า

“ทานน่าอัศจรรย์ ทานนั้นเป็นทานสูงสุด”

เมื่อท้าวสักกะทรงเปล่งอุทานอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารนั่นเอง ทรงสดับเสียงด้วยทิพยโสต แล้วตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นไหม ท้าวสักกะจอมเทพทรงเปล่งอุทานแล้วเหาะไป”

ภิกษุเหล่านั้นทูลถามว่า

“ก็ท้าวสักกะนั้นทรงกระทำอะไร พระพุทธเจ้าข้า”

“ท้าวเธอลวงถวายทานแด่ท่านกัสสปบุตรของเรา เพราะเหตุนั้นแล ท้าวเธอพอพระทัยจึงทรงเปล่งอุทาน”

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า


“เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เลี้ยงตนมิใช่เลี้ยงคนอื่น ผู้คงที่สงบแล้ว มีสติทุกเมื่อ”

 

 

อ้างอิง : มหากัสสปสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๗๙-๘๑ หน้า ๘๒-๘๔ และอรรถกถา