บริเวณที่คาดว่าเป็นอัมพปาลิอัมพวันวิหาร เมืองเวสาลี

นางอัมพปาลีคณิกาได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงเมืองเวสาลี ประทับอยู่ ณ อัมพวันของเรา เขตเมืองเวสาลี ครั้งนั้น นางอัมพปาลีคณิกาสั่งให้จัดยานที่ดี  ๆ แล้ว ขึ้นยานออกจากเมืองเวสาลี ตรงไปยังอารามของตน จนตลอดภูมิประเทศเท่าที่ยานจะไปได้ ลงจากยานเดินเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงยังนางอัมพปาลีคณิกา ผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา

นางอัมพปาลีคณิกานิมนต์พระผู้มีพระภาค

นางอัมพปาลีคณิกา อันพระผู้มีพระภาคทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตของหม่อมฉันในวันพรุ่งนี้”

พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพ ลำดับนั้น นางอัมพปาลีคณิกาทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับแล้ว จึงลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว

พวกเจ้าลิจฉวี เมืองเวสาลี ได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงเมืองเวสาลี ประทับอยู่ ณ อัมพปาลีวัน เขตเมืองเวสาลี ครั้งนั้น พวกเจ้าลิจฉวีรับสั่งให้จัดยานที่ดี ๆ แล้วเสด็จขึ้นยานออกจากเมืองเวสาลีไปแล้ว

ในพวกเจ้าลิจฉวีนั้น บางพวกเขียวล้วน คือ มีวรรณะเขียว มีผ้าเขียว มีเครื่องประดับเขียว บางพวกเหลืองล้วน คือ มีวรรณะเหลือง มีผ้าเหลือง มีเครื่องประดับเหลือง  บางพวกแดงล้วน คือ มีวรรณะแดง มีผ้าแดง มีเครื่องประดับแดง บางพวกขาวล้วน คือ มีวรรณะขาว มีผ้าขาว มีเครื่องประดับขาว  

ครั้งนั้น นางอัมพปาลีคณิกาให้เพลารถกระทบเพลารถ ล้อรถกระทบล้อรถ แอกกระทบแอก ของพวกเจ้าลิจฉวีหนุ่ม ๆ พวกเจ้าลิจฉวีได้พูดกะนางอัมพปาลีคณิกาว่า  

“แน่ะนางอัมพปาลี เหตุไรท่านจึงให้เพลารถกระทบเพลารถ ล้อรถกระทบล้อรถ แอกกระทบแอก ของพวกเจ้าลิจฉวีหนุ่ม ๆ”

นางอัมพปาลีคณิกาตอบว่า  

“ข้าแต่ลูกเจ้า จริงอย่างนั้น หม่อมฉันทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ให้ทรงรับภัตในวันพรุ่งนี้”  

“แน่ะนางอัมพปาลี เจ้าจงให้ภัตนี้โดยราคาแสนหนึ่งเถิด”

“ข้าแต่ลูกเจ้า ก็พวกท่านจักให้เมืองเวสาลีพร้อมทั้งชนบทแก่หม่อมฉัน แม้อย่างนั้น หม่อมฉันก็จักไม่ให้ภัตอันใหญ่ได้”

ลำดับนั้น พวกเจ้าลิจฉวีปรบมือว่า  

“ดูกรท่านทั้งหลาย นางอัมพปาลีชนะพวกเราแล้วหนอ พวกเราถูกนางอัมพปาลีลวงแล้วหนอ”

พวกเจ้าลิจฉวีได้ไปยังอัมพปาลีวันแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นพวกเจ้าลิจฉวีมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงรับสั่งกะพวกภิกษุว่า  

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุที่ยังไม่เคยเห็นพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ จงดูพวกเจ้าลิจฉวี จงจ้องดูหมู่เจ้าลิจฉวี จงนำเข้าไปเปรียบหมู่เจ้าลิจฉวี ให้เหมือนกับเทวดาชั้นดาวดึงส์”

พวกเจ้าลิจฉวีเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค

ลำดับนั้น พวกเจ้าลิจฉวีไปด้วยยานจนสุดภูมิประเทศที่ยานจะไปได้ ลงจากยาน เดินเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อพวกเจ้าลิจฉวีนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงยังพวกเจ้า ลิจฉวีเหล่านั้น ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา

ครั้งนั้นแล พวกเจ้าลิจฉวีอันพระผู้มีพระภาคทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตของพวกข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้”  

“ดูกรพวกเจ้าลิจฉวี เราได้รับภัตของนางอัมพปาลีคณิกาไว้ในวันพรุ่งนี้เสียแล้ว”

ลำดับนั้น พวกเจ้าลิจฉวีปรบนิ้วมือว่า  

“นางอัมพปาลีคณิกาชนะพวกเราแล้วหนอ พวกเราถูกนางอัมพปาลีคณิกาลวงแล้วหนอ”

พวกเจ้าลิจฉวีชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว

นางอัมพปาลีคณิกาถวายอาราม

ครั้งนั้น นางอัมพปาลีคณิกา ให้ตระเตรียมของเคี้ยวของฉันอันประณีต ในอารามของตนคืนยังรุ่ง เสร็จแล้วสั่งให้คนไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่าภัตตาหารสำเร็จแล้ว

ลำดับนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จไปยังที่พักชั่วคราวของนางอัมพปาลีคณิกา ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย นางอัมพปาลีคณิกา อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้อิ่มหนำเพียงพอด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีตด้วยมือของตน

ครั้นพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ วางพระหัตถ์จากบาตรแล้ว นางอัมพปาลีคณิกาถืออาสนะต่ำนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอถวายอารามนี้แด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข”

พระผู้มีพระภาคทรงรับอารามแล้ว ทรงยังนางอัมพปาลีคณิกาให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไปแล้ว

ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อัมพปาลีวัน เขตเมืองเวสาลีนั้น ทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละ เป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า

"อย่างนี้ศีล อย่างนี้สมาธิ อย่างนี้ปัญญา
สมาธิอันศีลอบรมแล้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ"

 

 

อ้างอิง : มหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ ข้อที่ ๙๑-๙๒ หน้า ๘๓-๘๕