แม่น้ำโรหิณี ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และโกลิยะ

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกกระจาบ มีนกกระจาบหลายพันเป็นบริวารอยู่ในป่า

ในกาลนั้น พรานล่านกกระจาบคนหนึ่งไปยังที่อยู่ของนกกระจาบเหล่านั้น ทำเสียงร้องเหมือนนกกระจาบ เมื่อนกกระจาบเหล่านั้นมารวมกัน ก็ทอดตาข่ายคลุมนกกระจาบเหล่านั้น กดที่ชายรอบ ๆ จับใส่ในกระเช้า แล้วนำไปขายเลี้ยงชีพ

อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์กล่าวกะเหล่านกกระจาบว่า

“นายพรานนกนี้ทำพวกญาติของเราทั้งหลายให้ถึงความพินาศ เรามีอุบายอย่างหนึ่งอันเป็นเหตุให้นายพรานนกนั้นไม่อาจจับพวกเราได้ ตั้งแต่บัดนี้ไปเมื่อนายพรานนกทอดข่ายลงเบื้องบนพวกเรา ท่านทั้งหลายจงสอดหัวเข้าในตาของตาข่าย พากันยกตาข่ายขึ้น บินไปยังพุ่มไม้มีหนาม แล้วพาดตาข่ายลงไป เมื่อทำอย่างนั้น พวกเราจักหนีไปทางด้านล่างได้”

นกกระจาบเหล่านั้นพากันรับคำ

ในวันต่อมา เมื่อพรานนกทอดข่ายลงมาคลุม ก็พากันยกข่ายขึ้น นำไปพาดลงบนพุ่มไม้มีหนาม แล้วหนีออกไปทางด้านล่าง เมื่อพรานนกมัวปลดข่ายจากพุ่มไม้อยู่ ก็เป็นเวลาพลบค่ำ นายพรานนกนั้นจึงต้องกลับไปมือเปล่า

วันต่อมา นกกระจาบเหล่านั้นก็ทำอย่างนั้นอีก นายพรานต้องกลับไปมือเปล่าอีก

ลำดับนั้น ภรรยาของเขาโกรธพูดว่า

“ท่านกลับมามือเปล่าทุกวัน ๆ เห็นจะมีที่ที่ท่านจะต้องเลี้ยงดูอยู่ข้างนอก”

นายพรานนกกล่าวว่า

“นางผู้เจริญ เราไม่มีที่ที่ต้องเลี้ยงดูแห่งอื่น ก็นกกระจาบเหล่านั้นมันพร้อมเพรียงกัน มันพากันเอาข่ายที่เราเหวี่ยงลงไปพาดบนพุ่มไม้มีหนาม แต่พวกมันจะไม่ร่าเริงอยู่ได้ตลอดไปหรอก เจ้าอย่าเสียใจ เมื่อใดพวกมันวิวาทกัน เมื่อนั้นเราจักจับพวกมันทั้งหมดมา ทำหน้าของเธอให้ชื่นบานเถิด”

โดยล่วงไป ๒-๓ วัน นกกระจาบตัวหนึ่งเมื่อจะลงยังพื้นที่หากิน ไม่ได้ระวัง จึงได้เหยียบหัวของนกกระจาบตัวอื่น นกกระจาบตัวที่ถูกเหยียบหัวโกรธกล่าวว่า

“ใครเหยียบหัวเรา”

นกกระจาบตัวนั้นตอบว่า

“เราไม่ได้ระวัง จึงได้เหยียบ ท่านอย่าโกรธเลย”

นกกระจาบตัวที่ถูกเหยียบก็ยังโกรธอยู่นั่นแหละ นกกระจาบนั้นเมื่อพากันกล่าวอยู่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ จึงทะเลาะกัน แล้วกล่าวว่า

“เห็นจะท่านเท่านั้นกระมัง ที่ยกข่ายขึ้นได้”

เมื่อนกกระจาบเหล่านั้นทะเลาะกัน พระโพธิสัตว์คิดว่า

“ขึ้นชื่อว่าการทะเลาะกัน ย่อมไม่มีความปลอดภัย บัดนี้แหละ นกกระจาบเหล่านั้นจักไม่ยกข่าย แต่นั้นจักพากันถึงความพินาศใหญ่หลวง นายพรานนกจักได้โอกาส เราไม่อาจอยู่ที่นี่แล้ว”

พระโพธิสัตว์นั้นจึงพาบริษัทของตนไปอยู่ที่อื่น

ฝ่ายนายพรานนก พอล่วงไป ๒-๓ วัน ก็มาร้องเหมือนเสียงนกกระจาบ เหวี่ยงตาข่ายไปคลุมนกกระจาบเหล่านั้นที่มากัน

ลำดับนั้น นกกระจาบตัวหนึ่งพูดว่า

“เขาว่าเมื่อท่านยกข่ายขึ้นเท่านั้น ขนบนหัวจึงร่วง บัดนี้ ท่านจงยกขึ้น”

นกกระจาบอีกตัวหนึ่งพูดว่า

“ข่าวว่าเมื่อท่านมัวแต่ยกข่ายขึ้น จนขนปีกทั้งสองข้างร่วงไป บัดนี้ท่านจงยกขึ้น

เมื่อนกกระจาบเหล่านั้นมัวแต่พูดว่า ท่านจงยกขึ้น ท่านจงยกขึ้น นายพรานนกจึงมารวบเอาข่ายให้นกกระจาบทั้งหมดมารวมกัน แล้วจับใส่จนเต็มกระเช้า กลับสู่เรือน ทำให้ภรรยาร่าเริงใจ

พระศาสดาตรัสว่า

“ดูกรมหาบพิตรทั้งหลาย ชื่อว่าความทะเลาะแห่งพระญาติทั้งหลาย ไม่ควรอย่างนี้ เพราะความทะเลาะเป็นมูลเหตุแห่งความพินาศถ่ายเดียว”

แล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิกัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า

“นกกระจาบตัวที่ไม่เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต ส่วนนกกระจาบตัวที่เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราแล”

 

 

อ้างอิง : พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ เล่มที่ ๕๔ ข้อที่ ๓๓ หน้า ๓๓๕-๓๓๘