เสาอโศกสถานที่ประสูติพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
ใกล้ลุมพินี
ลำดับนั้น พวกเทวดาผู้อาศัยอยู่รอบ ๆ ป่ามหาวัน ส่งเสียงดังว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกเราจงมา ชื่อว่าการเห็นพระพุทธเจ้ามีอุปการะมาก การฟังธรรมมีอุปการะมาก การเห็นพระสงฆ์ก็มีอุปการะมาก พวกเราทั้งหลายจงมา ๆ เถิด"
ดังนี้ จึงมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระขีณาสพซึ่งบรรลุพระอรหัตในครู่นั้น ได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง
พวกเทวดาทั้งหลายฟังเสียงเทวดาเหล่านั้นสิ้นสามครั้งในหิมวันต์อันแผ่ออกไปสามพันโยชน์ ด้วยสามารถแห่งเสียง มีเสียงระหว่างกึ่งคาวุต หนึ่งคาวุต กึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์ เป็นต้น
พวกเทวดาในชมพูทวีปทั้งสิ้น คือ ผู้อาศัยอยู่ในพระนคร ๖๓ พัน ที่ลำรางน้ำ ๙๙ แสน ที่เมืองท่า ๙๖ แสน และในที่เป็นที่เกิดแห่งรัตนะ คือ ทะเล ๕๖ แสน
ในจักรวาลทั้งสิ้น คือ ในบุพวิเทหะ อมรโคยานะ อุตตรกุรุ และในทวีปเล็ก ๒ พัน
ต่อจากนั้น เทวดาที่อยู่ในจักรวาลที่สอง โดยทำนองนี้แหละ พวกเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาลมาประชุมกันแล้ว ด้วยประการฉะนี้
พวกเทวดาทั้งหลายที่ประชุมกันมีมาก พวกที่ไม่ได้ประชุมกันมีน้อย คือ พวกที่เป็นอสัญญสัตว์และเกิดในอรูปาวจรเท่านั้น
ก็หมื่นจักรวาลในที่นี้ ท่านประสงค์เอาโลกธาตุสิบ ห้องแห่งจักรวาลทั้งสิ้นก็เต็มไปด้วยเทวดาทั้งหลายผู้มาประชุมกันตั้งแต่พรหมโลก มาราวกะเข็มที่บุคคลทะยอยใส่ในกล่องเข็มโดยไม่ขาดระยะ ฉะนั้น ในโอกาสใหญ่ขนาดนั้น ได้มีเทวดาจนหาที่ว่างไม่ได้
อนึ่ง ที่ประทับนั่งของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมไม่คับแคบ กษัตริย์ทั้งหลายผู้มีศักดิ์ใหญ่เสด็จมาแล้ว ๆ ย่อมได้โอกาส คือ ช่องว่างทีเดียว
ความคับแคบยิ่งข้างนี้และข้างนี้ย่อมไม่มี ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น ที่ประทับนั่งของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่คับแคบ ไม่มีสิ่งขัดขวาง พวกเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่และพวกพรหมทั้งหลายมาแล้ว ๆ ยังที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมไม่มีสิ่งขัดขวาง ย่อมได้โอกาส คือ ช่องว่างทีเดียว
พวกเทพทั้งหลาย ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง เนรมิตอัตภาพให้เล็ก แล้วอยู่ในที่สักว่าเจาะเข้าไปเท่าปลายขน ณ ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มี
พวกเทพ ๖๐ พวก ได้ยืนอยู่ข้างหน้าของเทวดาทั้งปวง
สุทธาวาสพรหมพรรณาคุณพระผู้มีพระภาค
ครั้งนั้น ผู้อยู่ในสุทธาวาส พรหมโลก ๕ ชั้น อันเป็นที่อยู่แห่งพระอนาคามีและพระขีณาสพทั้งหลาย พวกพรหมเหล่านั้นเข้าสมาบัติและก็ออกตามที่กำหนดไว้ แล้วแลดูภพของพรหมทั้งหลาย ได้เห็นความว่างเปล่า จึงพิจารณาดูว่าพวกพรหมเหล่านั้นไปไหน ทราบว่าไปที่สมาคมใหญ่นี้ พวกตนโดยมากถูกปล่อยทิ้งไว้ และโอกาสของบุคคลผู้ไปทีหลังย่อมหาได้ยาก
ในครั้งนั้น พรหมสี่องค์ได้มีความดำริว่า
"พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ ในแคว้นสักกะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดามาแต่โลกธาตุสิบประชุมกันมากเพื่อจะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ ไฉนหนอ แม้เราทั้งหลายก็พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว พึงกล่าวปัจเจกคาถาในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเราจักให้เขารู้ซึ่งความที่ตนมาแล้วในสมาคมใหญ่ด้วยคาถานี้ และจะกล่าวพรรณนาคุณของพระทศพล"
ก็พวกพรหมเหล่านั้นดำรงอยู่ในพรหมโลก ร้อยกรองคาถาทั้งหลายแล้ว องค์หนึ่งหยั่งลงที่ขอบจักรวาลด้านปุรัตถิมทิศ (ทิศตะวันออก) องค์หนึ่งหยั่งลงที่ขอบจักรวาลด้านทิกษิณ (ทิศใต้) องค์หนึ่งหยั่งลงที่ขอบจักรวาลด้านปัจฉิม (ทิศตะวันตก) องค์หนึ่งหยั่งลงที่ขอบจักรวาล ด้านอุดร (ทิศเหนือ)
ลำดับนั้น พระพรหมผู้หยั่งลงที่ขอบจักรวาลด้านทิศตะวันออก เข้าสมาบัติมีนีลกสิณเป็นอารมณ์ แล้วปล่อยรัศมีสีเขียว ยังเทวดาในหมื่นจักรวาลให้รู้ถึงความที่ตนมาแล้ว เหมือนบุคคลสวมใส่อยู่ซึ่งหนัง สำเร็จแล้วด้วยแก้วมณี ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นยืนอยู่ ณ ที่สมควรแล้ว ก็ได้ภาษิตคาถาที่ตนแต่งมาว่า
"การประชุมใหญ่ในป่าใหญ่ หมู่เทวดามาประชุมกันแล้ว พวกเราพากันมาสู่ธรรมสมัยนี้เพื่อได้เห็นหมู่ท่านผู้ชนะมาร"
ก็พรหมนั้น ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ยืนอยู่ ณ ขอบจักวาลด้านทิศตะวันออก
ลำดับนั้น พระพรหมผู้หยั่งลงที่ขอบจักรวาลด้านใต้ เข้าสมาบัติมีปีตกสิณเป็นอารมณ์เดียว ปล่อยรัศมีสีทอง ยังพวกเทวดาในหมื่นจักรวาลให้รู้ซึ่งความที่ตนมาแล้ว เหมือนบุคคลห่มผ้าสีทองอยู่ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง พรหมองค์ที่สองได้กล่าวคาถาว่า
"ภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้นตั้งมั่นแล้ว ได้ทำจิตของตนให้ตรงแล้ว ภิกษุทั้งปวงนั้นเป็นบัณฑิต ย่อมรักษาอินทรีย์ทั้งหลาย ดุจดังว่านายสารถีถือบังเหียน ฉะนั้น"
ลำดับนั้น พระพรหมผู้หยั่งลงที่ขอบจักรวาลด้านทิศตะวันตก เข้าสมาบัติมีโลหิตกสิณเป็นอารมณ์ แล้วปล่อยรัศมีสีแดง ยังพวกเทวดาในหมื่นจักรวาลให้รู้ถึงความที่ตนมาแล้ว เหมือนบุคคลพันกายอยู่ด้วยผ้ากัมพลอันประเสริฐซึ่งมีสีแดง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง พรหมองค์ที่สามได้กล่าวคาถาว่า
"ภิกษุทั้งหลายนั้นตัดกิเลสดังตะปูเสียแล้ว ตัดกิเลสดังว่าลิ่มสลักเสียแล้ว ถอนกิเลสดังว่าเสาเขื่อนเสียแล้ว มิได้มีความหวั่นไหว เป็นผู้หมดจด ปราศจากมลทิน อันพระพุทธเจ้าผู้มีจักษุทรงฝึกดีแล้ว เป็นหมู่นาคหนุ่มไปอยู่"
ลำดับนั้น พระพรหมผู้หยั่งลงที่ขอบจักรวาลด้านเหนือ เข้าสมาบัติโอทาตกสิณ แล้วปล่อยรัศมีสีขาว ยังพวกเทวดาในหมื่นจักรวาลให้รู้ซึ่งความที่ตนมาแล้ว เหมือนบุคคลห่มอยู่ซึ่งแผ่นผ้าดอกมะลิ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง พรหมองค์ที่สี่ได้กล่าวคาถาว่า
"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งถึงแล้วซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ชนเหล่านั้นจักไม่ไปสู่อบายภูมิ ละร่างกายอันเป็นของมนุษย์แล้ว จักยังเทวกายให้บริบูรณ์"
แม้พรหมนั้นครั้นกล่าวคาถาแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อไม่ได้โอกาสในป่ามหาวัน ก็ได้ยืนอยู่ ณ ขอบจักรวาลเหมือนอย่างนั้น
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อได้ทรงสำรวจดูตั้งแต่พื้นแผ่นดิน จนจรดกำหนดขอบปากจักรวาล จากกำหนดขอบปากจักรวาลจนจรดพรหมโลก ทอดพระเนตรเห็นการประชุมของเทวดาแล้ว จึงทรงพระดำริว่า
"สมาคมเทวดานี้ใหญ่ ฝ่ายพวกภิกษุไม่ทราบว่าสมาคมเทวดานี้ใหญ่อย่างนี้ เอาเถิด เราจะบอกพวกเธอ"
เมื่อทรงพระดำริอย่างนั้นเสร็จแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกภิกษุ ด้วยประการฉะนี้
พวกเทวดาพากันคิดว่า
"พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงกล่าวชื่อและโคตรแต่ของทวยเทพชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น ของพวกชั้นผู้น้อยจะทรงบอกไปทำไมในสมาคมใหญ่นี้"
ทีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาว่า เทวดาหล่านั้นคิดอย่างไร ทรงทราบวาระจิตนั้นของเทวดาเหล่านั้น เหมือนสอดมือเข้าปากแล้วคลำดวงใจ และเหมือนจับโจรได้ทั้งของกลาง จึงทรงดำริว่า
"เราจะกล่าวถึงชื่อและโคตรของเหล่าเทวดาแม้ทั้งหมดทั้งชั้นผู้น้อยและชั้นผู้ใหญ่ซึ่งต่างมาจากหมื่นจักรวาล"
อ้างอิง : อรรถกถา มหาสมัยสูตร