โลกสูตร - สัตว์โลก



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ควงไม้โพธิ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา

ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์เดียวตลอด ๗ วัน

ครั้งนั้นแล โดยล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้น แล้วทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ

ได้ทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้เดือดร้อน... อยู่ด้วยความเดือดร้อนเป็นอันมาก และผู้ถูกความเร่าร้อนเป็นอันมาก

ซึ่งเกิดจากราคะบ้าง...
เกิดจากโทสะบ้าง...
เกิดจากโมหะบ้าง... แผดเผาอยู่


ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

“โลกนี้เกิดความเดือดร้อนแล้ว
ถูกผัสสะครอบงำแล้ว
ย่อมกล่าวถึงโลก โดยความเป็นตัวตน

ก็โลกย่อมสำคัญโดยประการใด
ขันธปัญจก (ขันธ์ ๕) อันเป็นวัตถุแห่งความสำคัญนั้น
ย่อมเป็นอย่างอื่นจากประการที่ตนสำคัญนั้น

โลกข้องแล้วในภพ มีความแปรปรวนเป็นอื่น
ถูกภพครอบงำแล้ว ย่อมเพลิดเพลินภพนั่นเอง

(สัตว์) โลกย่อมเพลิดเพลินสิ่งใด
...สิ่งนั้นเป็นภัย
โลกกลัวสิ่งใด
...สิ่งนั้นเป็นทุกข์


ก็บุคคลอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อจะละภพแล

ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
กล่าวความหลุดพ้นจากภพด้วยภพ (สัสสตทิฐิ)
เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด
ไม่หลุดพ้นไปจากภพ  

ก็หรือสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
กล่าวความสลัดออกจากภพด้วยความไม่มีภพ (อุจเฉททิฐิ)
เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด
ไม่สลัดออกไปจากภพ


ก็ทุกข์นี้ ย่อมเกิดเพราะอาศัยอุปธิทั้งปวง ความเกิดแห่งทุกข์ย่อมไม่มี เพราะความสิ้นอุปาทานทั้งปวง

ท่านจงดูโลกนี้...
สัตว์ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ถูกอวิชชาครอบงำ
หรือยินดีแล้วในขันธปัญจก (ขันธ์ ๕) ที่เกิดแล้ว
ไม่พ้นไปจากภพ 

ก็ภพเหล่าใดเหล่าหนึ่งในส่วนทั้งปวง คือ
ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง
โดยส่วนทั้งปวง คือ สวรรค์ อบาย และมนุษย์ เป็นต้น

ภพทั้งหมดนั้นไม่เที่ยง ...เป็นทุกข์
...มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

อันบุคคลผู้เห็นขันธปัญจก กล่าวคือ ภพ
ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้อยู่
ย่อมละภวตัณหาได้
ทั้งไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหา

ความดับด้วยอริยมรรค…
เป็นเครื่องสำรอกไม่มีส่วนเหลือ
เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย ...
โดยประการทั้งปวง เป็นนิพพาน

ภพใหม่ ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น
ผู้ดับแล้ว เพราะไม่ถือมั่น
ภิกษุนั้นครอบงำมาร ชนะสงคราม
ล่วงภพได้ทั้งหมด เป็นผู้คงที่ ฉะนี้แล”

 

 

อ้างอิง : โลกสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๘๔ หน้า ๘๗-๘๘