อาเนญชสัปปายสูตร - ปฏิปทามีอเนญชสมาบัติเป็นที่สบาย



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นิคมชื่อกัมมาสธรรม ของชาวกุรุ ในแคว้นกุรุ สมัยนั้นแลพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

 “ดูกรภิกษุทั้งหลาย”

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามไม่เที่ยง เป็นของว่างเปล่า เลือนหายไปเป็นธรรมดา ลักษณะของกามดังนี้ ได้ทำความล่อลวง เป็นที่บ่นถึงของคนพาล

กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และกามสัญญา ทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า ทั้ง ๒ อย่างนี้ เป็นบ่วงแห่งมาร เป็นแดนแห่งมาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นที่หากินของมาร

ในกามนี้ย่อมมีอกุศลลามกเหล่านี้เกิดที่ใจ คือ อภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะบ้าง เป็นไป

กามนั่นเอง ย่อมเกิดเพื่อเป็นอันตรายแก่อริยสาวก ผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้


ปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติเป็นที่สบาย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นในเรื่องกามนั้น ดังนี้ว่า

กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้
ทั้งที่มีในภพหน้า ทั้ง ๒ อย่างนี้…
เป็นบ่วงแห่งมาร เป็นแดนแห่งมาร
เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นที่หากินของมาร
ในกามนี้ ย่อมมีอกุศลลามกเหล่านี้เกิดที่ใจ คือ
อภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะบ้าง เป็นไป

กามนั่นเอง ย่อมเกิดเพื่อเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้

ไฉนหนอ เราพึงมีจิตเป็นมหัคคตะอย่างไพบูลย์ อธิษฐานใจ ครอบโลกอยู่


เพราะเมื่อเรามีจิตเป็นมหัคคตะอย่างไพบูลย์ อธิษฐานใจครอบโลกอยู่ อกุศลลามกเกิดที่ใจ ได้แก่ อภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะบ้าง นั้นจักไม่มี เพราะละอกุศลเหล่านั้นได้ จิตของเราที่ไม่เล็กน้อยนั่นแหละ จักกลายเป็นจิตหาประมาณมิได้ อันเราอบรมดีแล้ว

เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่

จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงอาเนญชสมาบัติ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน

เมื่อตายไปข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงสภาพหาความหวั่นไหวมิได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกพิจารณาเห็นดังนี้

ซึ่งกามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า

ซึ่งรูปบางชนิดและรูปทั้งหมด
คือ มหาภูต ๔ และรูปอาศัยมหาภูตทั้ง ๔  

เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ด้วยประการนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่

จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงอาเนญชสมาบัติ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน

เมื่อตายไปข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงสภาพ หาความหวั่นไหวมิได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ ๒

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า

รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า

ทั้ง ๒ อย่างนี้…เป็นของไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นไม่ควรยินดี ไม่ควรบ่นถึง ไม่ควรติดใจ

เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่

จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงอาเนญชสมาบัติ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน

เมื่อตายไปข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณ เข้าถึงสภาพ หาความหวั่นไหวมิได้  นั่นเป็นฐานะที่มีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติ เป็นที่สบายข้อที่ ๓

ปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบาย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า

รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า

และอาเนญชสัญญา

สัญญาทั้งหมดนี้ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ใด...
ที่นั้นคือ อากิญจัญญายตนะ อันดี ประณีต

เมื่ออริยสาวกปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่

จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไปข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพอากิญจัญญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกอยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

สิ่งนี้ว่างเปล่าจากตน หรือจากความเป็นของตน

เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่

จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณ อันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพอากิญจัญญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติ เป็นที่สบายข้อที่ ๒

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

เราไม่มีในที่ไหน ๆ
สิ่งน้อยหนึ่งของใคร ๆ หามีในเรานั้นไม่
และสิ่งน้อยหนึ่งของเราก็หามีในที่ไหน ๆ ไม่
ในใคร ๆ ย่อมไม่มีสิ่งน้อยหนึ่งเลย

เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่

จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไปข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพอากิญจัญญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ ๓


ปฏิปทามีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบาย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และกามสัญญา ทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า

รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และรูปสัญญา ทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า

และอาเนญชสัญญา อากิญจัญญายตนสัญญา

สัญญาทั้งหมดนี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ใด ที่นั่น คือ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันดี ประณีต

เมื่ออริยสาวกปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่

จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพเนวสัญญานาสัญญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบาย


ปฏิปทาเครื่องข้ามพ้นโอฆะ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะ ด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้น ๆ เสีย

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนั้นพึงปรินิพพานหรือหนอ หรือว่าไม่พึงปรินิพพาน”

“ดูกรอานนท์ ภิกษุบางรูปพึงปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี บางรูปไม่พึงปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี"

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้ภิกษุบางรูปปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี บางรูปไม่ปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี

“ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้

ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะ ด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้น ๆ เสีย

เธอยินดี บ่นถึง ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ เมื่อเธอยินดี บ่นถึง ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ วิญญาณย่อมเป็นอันอาศัยอุเบกขานั้น ยึดมั่นอุเบกขานั้น"


"ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้มีความยึดมั่นอยู่ ย่อมปรินิพพานไม่ได้”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา จะเข้าถือเอาที่ไหน”

“ดูกรอานนท์ ย่อมเข้าถือเอา เนวสัญญานาสัญญายตนภพ”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอทราบว่า ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา ชื่อว่าย่อมเข้าถือเอาแดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาหรือ”

“ดูกรอานนท์ ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา ย่อมเข้าถือเอาแดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาได้ ก็แดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาได้นี้ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ”

ผู้ปรินิพพาน

“ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้

ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้น ๆ เสีย

เธอไม่ยินดี ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ วิญญาณก็ไม่เป็นอันอาศัยอุเบกขานั้น และไม่ยึดมั่นอุเบกขานั้น"


"ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ไม่มีความยึดมั่น ย่อมปรินิพพานได้”

“น่าอัศจรรย์จริง พระพุทธเจ้าข้า ไม่น่าเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า อาศัยเหตุนี้ เป็นอันว่า พระผู้มีพระภาคตรัสบอกปฏิปทาเครื่องข้ามพ้นโอฆะแก่พวกข้าพระองค์แล้ว”

วิโมกข์ของพระอริยะ

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิโมกข์ของพระอริยะเป็นไฉน”

ดูกรอานนท์ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้

ซึ่งกามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า

ซึ่งรูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า

ซึ่งอาเนญชสัญญา ซึ่งอากิญจัญญายตนสัญญา
ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา

ซึ่งสักกายะเท่าที่มีอยู่นี้
ซึ่งอมตะ คือ ความหลุดพ้นแห่งจิต เพราะไม่ถือมั่น

ดูกรอานนท์ ด้วยประการนี้แล เราแสดงปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว เราแสดงปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว เราแสดงปฏิปทามีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว

อาศัยเหตุนี้ เป็นอันเราแสดงปฏิปทาเครื่องข้ามพ้นโอฆะ คือ วิโมกข์ของพระอริยะแล้ว

ดูกรอานนท์ กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์ อาศัยความอนุเคราะห์ พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นเราทำแล้วแก่พวกเธอ"


"ดูกรอานนท์ นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ"

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล

 

 

อ้างอิง : อาเนญชสัปปายสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๘๐-๙๒ หน้าที่ ๖๑-๖๖