สฬายตนวิภังคสูตร - ธรรมอันเนื่องด้วยอายตนะ ๖



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี

สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย”  

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า


“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันเนื่องด้วยอายตนะ ๖ มากมายแก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป”

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า

“ชอบแล้วพระพุทธเจ้าข้า”       

ธรรมอันเนื่องด้วยการไม่เห็นอายตนะ ๖
ตามความเป็นจริง

พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย

บุคคล เมื่อไม่รู้ไม่เห็น จักษุ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น รูป ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น จักษุวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น จักษุสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมกำหนัดในจักษุ
กำหนัดในรูป
กำหนัดในจักษุวิญญาณ
กำหนัดในจักษุสัมผัส
กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ...เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย...

บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็น โสตะ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น เสียง ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น โสตวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น โสตสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมกำหนัดในโสต
กำหนัดในเสียง
กำหนัดในโสตวิญญาณ
กำหนัดในโสตสัมผัส
กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ...เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย…

บุคคลเมื่อ ไม่รู้ไม่เห็น ฆานะ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น กลิ่น ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ฆานวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ฆานสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมกำหนัดในฆานะ
กำหนัดในกลิ่น
กำหนัดในฆานวิญญาณ
กำหนัดในฆานสัมผัส
กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ...เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย…

บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็น ชิวหา ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น รส ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ชิวหาวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ชิวหาสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมกำหนัดในชิวหา
กำหนัดในรส
กำหนัดในชิวหาวิญญาณ
กำหนัดในชิวหาสัมผัส
กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ...เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย…

บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็น กาย ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น โผฏฐัพพะ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น กายวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น กายสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะกายาสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมกำหนัดในกาย
กำหนัดในโผฏฐัพพะ
กำหนัดในกายวิญญาณ
กำหนัดในกายสัมผัส
กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ...เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย…

บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็น มโน ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ธรรมารมณ์ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น มโนวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น มโนสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมกำหนัดในมโน
กำหนัดในธรรมารมณ์
กำหนัดในมโนวิญญาณ
กำหนัดในมโนสัมผัส
กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ...เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย...

...เมื่อบุคคลนั้น กำหนัดนักแล้ว
ประกอบพร้อมแล้ว ลุ่มหลง เล็งเห็นคุณอยู่
ย่อมมีอุปาทานขันธ์ ๕ ถึงความพอกพูนต่อไป
และเขาจะมีตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่
สหรคตด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความยินดี
อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ เจริญทั่ว

จะมีความกระวนกระวายแม้ทางกาย แม้ทางใจเจริญทั่ว

จะมีความเดือดร้อนแม้ทางกาย แม้ทางใจเจริญทั่ว

จะมีความเร่าร้อนแม้ทางกาย แม้ทางใจเจริญทั่ว

…เขาย่อมเสวยทุกข์ทางกายบ้าง ทุกข์ทางใจบ้าง

ธรรมอันเนื่องด้วยการเห็นอายตนะ ๖
ตามความเป็นจริง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ส่วนบุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็น จักษุ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น รูป ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น จักษุวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น จักษุสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมไม่กำหนัดในจักษุ
ไม่กำหนัดในรูป
ไม่กำหนัดในจักษุวิญญาณ
ไม่กำหนัดในจักษุสัมผัส
ไม่กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ..เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย...

บุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็น โสตะ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น เสียง ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น โสตวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น โสตสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมไม่กำหนัดในโสตะ ไม่กำหนัดในเสียง
ไม่กำหนัดในโสตวิญญาณ
ไม่กำหนัดในโสตสัมผัส
ไม่กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ..เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย...

บุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็น ฆานะ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น กลิ่น ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ฆานวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ฆานสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมไม่กำหนัดในฆานะ
ไม่กำหนัดในกลิ่น
ไม่กำหนัดในฆานญญาณ
ไม่กำหนัดในฆานสัมผัส
ไม่กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ..เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย...

บุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็น ชิวหา ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น รส ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ชิวหาวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ชิวหาสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมไม่กำหนัดในชิวหา
ไม่กำหนัดในรส
ไม่กำหนัดในชิวหาวิญญาณ
ไม่กำหนัดในชิวหาสัมผัส
ไม่กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ...เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย...

บุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็น กาย ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น โผฏฐัพพะ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น กายวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น กายสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมไม่กำหนัดในกาย
ไม่กำหนัดในโผฏฐัพพะ
ไม่กำหนัดในกายวิญญาณ
ไม่กำหนัดในกายสัมผัส
ไม่กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ...เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม

ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย...

บุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็น มโน ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ธรรมารมณ์ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น มโนวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น มโนสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็น ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง

ย่อมไม่กำหนัดในมโน
ไม่กำหนัดในธรรมารมณ์
ไม่กำหนัดในมโนวิญญาณ
ไม่กำหนัดในมโนสัมผัส
ไม่กำหนัดในความเสวยอารมณ์ ...เป็นสุขก็ตาม
...เป็นทุกข์ก็ตาม ...มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย...

...เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดนักแล้ว
ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ไม่ลุ่มหลง เล็งเห็นโทษอยู่
ย่อมมีอุปาทานขันธ์ ๕ ถึงความไม่พอกพูนต่อไป
และเขาจะละตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่
สหรคตด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดี
อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ ได้

จะละความกระวนกระวายแม้ทางกาย แม้ทางใจได้

จะละความเดือดร้อนแม้ทางกาย แม้ทางใจได้

จะละความเร่าร้อนแม้ทางกาย แม้ทางใจได้

…เขาย่อมเสวยสุขทางกายบ้าง สุขทางใจบ้าง

บุคคลผู้เป็นเช่นนั้นแล้ว…

มีความเห็นอันใด
ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาทิฐิ

มีความดำริอันใด
ความดำริอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะ

มีความพยายามอันใด
ความพยายามอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาวายามะ

มีความระลึกอันใด
ความระลึกอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาสติ

มีความตั้งใจอันใด
ความตั้งใจอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสมาธิ

ส่วนกายกรรม วจีกรรม อาชีวะของเขา
ย่อมบริสุทธิ์ดีในเบื้องต้นเทียว

ด้วยอาการอย่างนี้ เขาชื่อว่ามีอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐถึงความเจริญบริบูรณ์  

เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐนี้อยู่อย่างนี้

ชื่อว่ามี...

สติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
ถึงความเจริญบริบูรณ์

บุคคลนั้น ย่อมมีธรรมทั้งสองดังนี้ คือ
สมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันเป็นไป

เขาชื่อว่า...

กำหนดรู้ ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ละ ธรรมที่ควรละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
เจริญ ธรรมที่ควรเจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ทำให้แจ้ง ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง

ก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน

มีข้อที่เรากล่าวไว้ว่า อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่

อุปาทานขันธ์คือ รูป
อุปาทานขันธ์คือ เวทนา
อุปาทานขันธ์คือ สัญญา
อุปาทานขันธ์คือ สังขาร
อุปาทานขันธ์คือ วิญญาณ

เหล่านี้ ชื่อว่าธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง

ก็ธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน

คือ อวิชชาและภวตัณหา
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง

ก็ธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน

คือ สมถะและวิปัสสนา
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง

ก็ธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน

คือ วิชชาและวิมุตติ
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล


 

 

อ้างอิง : สฬายตนวิภังคสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อที่  ๘๒๕-๘๓๑ หน้า ๓๙๔-๓๙๘

 

ภาพประกอบ : ชิณวิชญ์ ชัยวีรภัทร์