อรณวิภังคสูตร - การจำแนกธรรมที่ไม่มีกิเลส



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย”


ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอรณวิภังค์แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังอรณวิภังค์นั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป”

ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระดำรัสว่า

“ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า

อรณวิภังค์

“ไม่พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งสุขอาศัยกามอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

ความปฏิบัติสายกลางไม่เข้าใกล้ที่สุด ๒ อย่างนี้นั้น ตถาคตรู้พร้อมด้วยปัญญายิ่งแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้มีจักษุ ทำให้มีญาณ เป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

พึงรู้จักการยกยอและการตำหนิ ครั้นรู้แล้ว ไม่พึงยกยอ ไม่พึงตำหนิ พึงแสดงแต่ธรรมเท่านั้น

พึงรู้ตัดสินความสุข ครั้นรู้แล้ว พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งความสุขภายใน

ไม่พึงกล่าววาทะลับหลัง ไม่พึงกล่าวคำล่วงเกินต่อหน้า

พึงเป็นผู้ไม่รีบด่วนพูด อย่าพูดรีบด่วน

ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญเสีย

นี้ อุเทศแห่งอรณวิภังค์


ทางสุดโต่ง

ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า...
ไม่พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งสุขอาศัยกามอันเลว และไม่พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก

นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

ความประกอบเนือง ๆ ซึ่งโสมนัสของคนที่มีความสุขโดยสืบต่อกามอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด

การไม่ตามประกอบความประกอบเนือง ๆ ซึ่งโสมนัสของคนที่มีความสุขโดยสืบต่อกามอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ

ความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด

การไม่ตามประกอบความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ

ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งสุขอาศัยกามอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ นั่นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว

ทางสายกลาง

ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า...
ความปฏิบัติสายกลาง ไม่เข้าใกล้ที่สุด ๒ อย่างนี้นั้น

นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐนี้แล คือ
ความเห็นชอบ
ความดำริชอบ
วาจาชอบ
การงานชอบ
การเลี้ยงชีพชอบ
ความพยายามชอบ
ความระลึกชอบ
ความตั้งใจชอบ

ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความปฏิบัติสายกลาง ไม่เข้าใกล้ที่สุด ๒ อย่างนี้นั้น อันตถาคตรู้พร้อมด้วยปัญญายิ่งแล้ว เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้มีจักษุ ทำให้มีญาณ เป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน นั่นเราอาศัยมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐดังนี้ กล่าวแล้ว

การยกยอ การตำหนิ

ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า...
พึงรู้จักการยกยอและการตำหนิ ครั้นรู้แล้ว ไม่พึงยกยอ ไม่พึงตำหนิ พึงแสดงแต่ธรรมเท่านั้น

นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร เป็นการยกยอ เป็นการตำหนิ และไม่เป็นการแสดงธรรม คือ

เมื่อกล่าวว่า...
ชนเหล่าใด ตามประกอบความประกอบเนือง ๆ ซึ่งโสมนัสของคนที่มีความสุขโดยสืบต่อกามอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด มีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติผิด

ดังนี้ ชื่อว่า ตำหนิชนพวกหนึ่ง

เมื่อกล่าวว่า...
ชนเหล่าใด ไม่ตามประกอบความประกอบเนือง ๆ ซึ่งโสมนัสของคนที่มีความสุขโดยสืบต่อกามอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติชอบ

ดังนี้ ชื่อว่า ยกยอชนพวกหนึ่ง

เมื่อกล่าวว่า...
ชนเหล่าใด ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด มีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติผิด

ดังนี้ ชื่อว่าตำหนิชนพวกหนึ่ง

เมื่อกล่าวว่า...
ชนเหล่าใด ไม่ตามประกอบความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติชอบ

ดังนี้ ชื่อว่า ยกยอชนพวกหนึ่ง

เมื่อกล่าวว่า...
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ยังละสัญโญชน์ในภพไม่ได้แล้ว ชนเหล่านั้นทั้งหมด มีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติผิด

ดังนี้ ชื่อว่าตำหนิชนพวกหนึ่ง

เมื่อกล่าวว่า...
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ละสัญโญชน์ในภพได้แล้ว ชนเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติชอบ

ดังนี้ ชื่อว่ายกยอชนพวกหนึ่ง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลเป็นการยกยอ เป็นการตำหนิ และไม่เป็นการแสดงธรรม

การแสดงแต่ธรรม ไม่ยกยอ ไม่ตำหนิ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ไม่เป็นการยกยอ ไม่เป็นการตำหนิ เป็นการแสดงธรรมแท้ คือ

ไม่กล่าวอย่างนี้ว่า...
ชนเหล่าใด ตามประกอบความประกอบเนือง ๆ ซึ่งโสมนัสของคนที่มีความสุขโดยสืบต่อกามอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด มีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติผิด

กล่าวอยู่ว่า...
อันความตามประกอบนี้แล เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด

ดังนี้ ชื่อว่าแสดงแต่ธรรมเท่านั้น

ไม่กล่าวอย่างนี้ว่า...
ชนเหล่าใด ไม่ตามประกอบความประกอบเนือง ๆ ซึ่งโสมนัส ของคนที่มีความสุขโดยสืบต่อกามอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติชอบ

กล่าวอยู่ว่า...
อันความตามประกอบนี้แล เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ

ดังนี้ ชื่อว่า แสดงแต่ธรรมเท่านั้น

ไม่กล่าวอย่างนี้ว่า...
ชนเหล่าใด ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด มีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติผิด

กล่าวอยู่ว่า...
อันความตามประกอบนี้แล เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด

ดังนี้ ชื่อว่าแสดงแต่ธรรมเท่านั้น

ไม่กล่าวอย่างนี้ว่า...
ชนเหล่าใด ไม่ตามประกอบ ซึ่งความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติชอบ

กล่าวอยู่ว่า...
อันความไม่ตามประกอบนี้แล เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ

ดังนี้ ชื่อว่าแสดงแต่ธรรมเท่านั้น

ไม่กล่าวอย่างนี้ว่า...
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ยังละสัญโญชน์ในภพไม่ได้แล้ว ชนเหล่านั้นทั้งหมด มีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติผิด

กล่าวอยู่ว่า...
เมื่อยังละสัญโญชน์ในภพไม่ได้แล้วแล ภพย่อมเป็นอันละไม่ได้

ดังนี้ ชื่อว่าแสดงแต่ธรรมเท่านั้น

ไม่กล่าวอย่างนี้ว่า...
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ละสัญโญชน์ในภพได้แล้ว ชนเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นผู้ปฏิบัติชอบ

กล่าวอยู่ว่า...
ก็เมื่อละสัญโญชน์ในภพได้แล้วแล ภพย่อมเป็นอันละได้

ดังนี้ ชื่อว่าแสดงแต่ธรรมเท่านั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ไม่เป็นการยกยอ ไม่เป็นการตำหนิ เป็นการแสดงธรรมแท้

ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงรู้จักการยกยอและการตำหนิ ครั้นรู้แล้วไม่พึงยกยอ ไม่พึงตำหนิ พึงแสดงแต่ธรรมเท่านั้น นั่น เราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว

ความสุข

ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า...
พึงรู้ตัดสินความสุข ครั้นรู้แล้ว พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งความสุขภายใน

นั่น เราอาศัยอะไร กล่าวแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กามคุณนี้มี ๕ อย่าง ๕ อย่าง เป็นไฉน คือ

รูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ...
เสียงที่รู้ได้ด้วยโสต...
กลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ...
รสที่รู้ได้ด้วยชิวหา...
โผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย...
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด นี้แล กามคุณ ๕


สุขโสมนัสใดอาศัยกามคุณ ๕ เหล่านี้เกิดขึ้น สุขโสมนัสนี้เรียกว่า สุขอาศัยกาม สุขของปุถุชน สุขในที่ลับ ไม่ใช่สุขของพระอริยะ เรากล่าวว่า ไม่พึงเสพ ไม่พึงให้เจริญ ไม่พึงทำให้มาก พึงกลัวสุขนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม

เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่

เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่

เป็นผู้วางเฉย เพราะหน่ายปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน ที่พระอริยะเรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติอยู่เป็นสุขอยู่

เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อน ๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่

นี้เรียกว่า สุขอาศัยเนกขัมมะ


สุขอาศัยเนกขัมมะ สุขเกิดแต่ความสงัด สุขเกิดแต่ความสงบ สุขเกิดแต่ความตรัสรู้ เรากล่าวว่าพึงเสพให้มาก พึงให้เจริญ พึงทำให้มาก ไม่พึงกลัวสุขนี้

ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงรู้ตัดสินความสุข ครั้นรู้แล้ว พึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งความสุขภายใน นั่น เราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว

การกล่าวลับหลัง การล่วงเกินต่อหน้า

ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า...
ไม่พึงกล่าววาทะลับหลัง
ไม่พึงกล่าวคำล่วงเกินต่อหน้า

นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พึงรู้วาทะลับหลังใดไม่เป็นจริง ไม่แท้
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่พึงกล่าววาทะลับหลังนั้นเป็นอันขาด

แม้รู้วาทะลับหลังใดจริง แท้
แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ก็พึงสำเหนียก เพื่อจะไม่กล่าววาทะลับหลังนั้น

และรู้วาทะลับหลังใดจริง แท้
ประกอบด้วยประโยชน์ในเรื่องนั้น
พึงเป็นผู้รู้จักกาล เพื่อจะกล่าววาทะลับหลังนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พึงรู้คำล่วงเกินต่อหน้าใดไม่เป็นจริง
ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่พึงกล่าวคำล่วงเกินต่อหน้านั้นเป็นอันขาด

แม้รู้คำล่วงเกินต่อหน้าใดจริง แท้
แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ก็พึงสำเหนียกเพื่อจะไม่กล่าวคำล่วงเกินต่อหน้านั้น

และรู้คำล่วงเกินต่อหน้าใดจริง แท้
ประกอบด้วยประโยชน์
ในเรื่องนั้น พึงเป็นผู้รู้จักกาล
เพื่อจะกล่าวคำล่วงเกินต่อหน้านั้น

ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงกล่าววาทะลับหลัง ไม่พึงกล่าวคำล่วงเกินต่อหน้า นั่น เราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว

การพูด

ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า...
พึงเป็นผู้ไม่รีบด่วนพูด อย่าพูดรีบด่วน
นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

ในประการแรกนั้น เมื่อรีบด่วนพูด กายก็ลำบาก จิตก็แกว่ง เสียงก็พร่า คอก็เครือ แม้คำพูดของผู้ที่รีบด่วนพูด ก็ไม่สละสลวย ไม่พึงรู้ชัดได้

ในประการหลังนั้น เมื่อไม่รีบด่วนพูด กายไม่ลำบาก จิตก็ไม่แกว่ง เสียงก็ไม่พร่า คอก็ไม่เครือ แม้คำพูดของผู้ที่ไม่รีบด่วนพูด ก็สละสลวย พึงรู้ชัดได้

ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงเป็นผู้ไม่รีบด่วนพูด อย่าพูดรีบด่วน นั่น เราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว

ภาษา

ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า...
ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท
ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญเสีย

นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า
เป็นการปรักปรำภาษาชนบท
และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภาชนะ ในโลกนี้ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปัตตะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หนะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิปิละ

ภิกษุพูดปรักปรำโดยประการที่ชนทั้งหลายหมายรู้เรื่อง ภาชนะ ในชนบทนั้น ๆ ตามกำลังและความแน่ใจว่า นี้เท่านั้นจริง อื่นเปล่า

อย่างนี้แล ชื่อว่า เป็นการปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า
เป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท
และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภาชนะ  ในโลกนี้ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปัตตะ ในบางชนบท เขา หมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หนะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิปิละ

ภิกษุพูดโดยประการที่ชนทั้งหลาย หมายรู้เรื่อง ภาชนะ  ในชนบทนั้น ๆ อย่างไม่ใช่ความแน่ใจว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลายพูดแก่ข้าพเจ้า หมายถึง ภาชนะ นี้

อย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ

ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญ นั่นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว

ธรรมยังมีกิเลส - ธรรมไม่มีกิเลส

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น

ความประกอบเนือง ๆ ซึ่งโสมนัสของคนที่มีความสุขเพราะสืบต่อกามอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์

แต่การไม่ตามประกอบความประกอบเนือง ๆ ซึ่งโสมนัสของคนที่มีความสุขโดยสืบต่อกามอันเลว

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

ความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์

แต่การไม่ตามประกอบความเพียรเครื่องประกอบตนให้ลำบาก อันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

ความปฏิบัติสายกลางอันตถาคตรู้พร้อมด้วยปัญญายิ่งแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้มีจักษุ ทำให้มีญาณ เป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

การยกยอ การตำหนิ และไม่ใช่เป็นการแสดงธรรม

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์

แต่การไม่ยกยอ การไม่ตำหนิ การแสดงแต่ธรรมเท่านั้น

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

สุขอาศัยเนกขัมมะ สุขเกิดแต่ความสงัด สุขเกิดแต่ความสงบ สุขเกิดแต่ความตรัสรู้

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

วาทะลับหลังซึ่งไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์

แม้วาทะลับหลังซึ่งจริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น ธรรมนี้ก็ยังมีกิเลสต้องรณรงค์

ส่วนวาทะลับหลังซึ่งจริงแท้ ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

คำกล่าวล่วงเกินต่อหน้า ซึ่งไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์

แม้คำกล่าวล่วงเกินต่อหน้าซึ่งจริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์

แต่คำกล่าวล่วงเกินต่อหน้าซึ่งจริง แท้ ประกอบด้วยประโยชน์

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

คำที่ผู้รีบด่วนพูด

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์

แต่คำที่ผู้ไม่รีบด่วนพูด

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

การปรักปรำภาษาชนบท และการล่วงเลยคำพูดสามัญ

นี้ เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์

แต่การไม่ปรักปรำภาษาชนบท และการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ

นี้ เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้แลว่า เราทั้งหลายจักรู้ธรรมยังมีกิเลสต้องรณรงค์และรู้ธรรมไม่มีกิเลสต้องรณรงค์ ครั้นรู้แล้ว จักปฏิบัติปฏิปทาไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แหละ กุลบุตรสุภูติปฏิบัติปฏิปทาไม่มีกิเลสต้องรณรงค์แล้ว

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล

 

 

 

อ้างอิง : อรณวิภังคสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อ ๖๕๓-๖๗๒ หน้า ๓๑๙-๓๒๖