จูฬโคสิงคสาลสูตร - ธรรมเครื่องอยู่สำราญ



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ที่พักซึ่งสร้างด้วยอิฐในนาทิกคาม ก็สมัยนั้น ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระนันทิยะ ท่านพระกิมิละ อยู่ที่ป่าโคสิงคสาลวัน

ครั้งนั้นเวลาเย็นพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่ประทับ พักผ่อนแล้ว เสด็จเข้าไปยังป่าโคสิงคสาลวัน


นายทายบาลผู้รักษาป่าได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า

“ข้าแต่สมณะ ท่านอย่าเข้าไปยังป่านี้เลย ในที่นี้มีกุลบุตร ๓ ท่าน ซึ่งเป็นผู้ใคร่ประโยชน์ตนอยู่ ท่านอย่าได้กระทำความไม่ผาสุกแก่ท่านทั้ง ๓ นั้นเลย”

เมื่อนายทายบาลกล่าวกะพระผู้มีพระภาคอยู่ ท่านพระอนุรุทธะได้ยินแล้ว จึงได้บอกนายทายบาลดังนี้ว่า

 “ดูกรนายทายบาล ท่านอย่าได้ห้ามพระผู้มีพระภาคเลย พระผู้มีพระภาคผู้เป็นศาสดาของพวกเราเสด็จมาถึงแล้ว”

ลำดับนั้น ท่านพระอนุรุทธะได้เข้าไปหาท่านพระนันทิยะและท่านพระกิมิละถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้บอกว่า

“รีบออกไปเถิด ท่านผู้มีอายุ
รีบออกไปเถิด ท่านผู้มีอายุ
พระผู้มีพระภาคผู้เป็นศาสดาของพวกเราเสด็จมาถึงแล้ว”

ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมิละได้ต้อนรับพระผู้มีพระภาค
องค์หนึ่งรับบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาค
องค์หนึ่งปูอาสนะ
องค์หนึ่งตั้งน้ำล้างพระบาท

พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูถวาย ครั้นแล้ว ทรงล้างพระบาท ท่านผู้มีอายุเหล่านั้นถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านผู้มีอายุเหล่านั้นว่า

“ดูกรอนุรุทธะ นันทิยะ และกิมิละ พวกเธอพอจะอดทนได้ละหรือ พอจะยังชีวิตให้เป็นไปได้หรือ พวกเธอไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ”

ท่านพระอนุรุทธะกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พวกข้าพระองค์พอจะอดทนได้ พอจะยังชีวิตให้เป็นไปได้ พวกข้าพระองค์ไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต”

“ก็พวกเธอยังพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน ยังเป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ แลดูกันและกันด้วยจักษุอันเป็นที่รักอยู่หรือ”

ท่านพระอนุรุทธะกราบทูลว่า

“เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

“ก็พวกเธอเป็นอย่างนั้นได้เพราะเหตุอย่างไร”

เหตุแห่งความสามัคคี

“พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์มีความดำริอย่างนี้ว่า

เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ
ที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนพรหมจรรย์เห็นปานนี้

ข้าพระองค์เข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยเมตตา
ในท่านผู้มีอายุเหล่านี้
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ข้าพระองค์มีความดำริอย่างนี้ว่า

ไฉนหนอ เราพึงเก็บจิตของตนเสีย
แล้ว
ประพฤติตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้

แล้วข้าพระองค์ก็เก็บจิตของตนเสีย
ประพฤติอยู่ตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้

กายของพวกข้าพระองค์ต่างกันจริงแล
แต่ว่าจิตดูเหมือนเป็นอันเดียวกัน

แม้ท่านพระนันทิยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

“พระพุทธเจ้าข้าขอประทานพระวโรกาส แม้ข้าพระองค์ก็มีความดำริอย่างนี้ว่า

เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ
ที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนพรหมจรรย์เห็นปานนี้

ข้าพระองค์เข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยเมตตา
ในท่านผู้มีอายุเหล่านี้
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ข้าพระองค์มีความดำริอย่างนี้ว่า

ไฉนหนอ เราพึงเก็บจิตของตนเสีย
แล้ว
ประพฤติตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้

แล้วข้าพระองค์ก็เก็บจิตของตนเสีย
ประพฤติอยู่ตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้

กายของพวกข้าพระองค์ต่างกันจริงแล
แต่ว่าจิตดูเหมือนเป็นอันเดียวกัน

แม้ท่านพระกิมิละก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

“พระพุทธเจ้าข้าขอประทานพระวโรกาส แม้ข้าพระองค์ก็มีความดำริอย่างนี้ว่า

เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ
ที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนพรหมจรรย์เห็นปานนี้

ข้าพระองค์เข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยเมตตา
ในท่านผู้มีอายุเหล่านี้
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ข้าพระองค์มีความดำริอย่างนี้ว่า

ไฉนหนอ เราพึงเก็บจิตของตนเสีย
แล้วประพฤติตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้

แล้วข้าพระองค์ก็เก็บจิตของตนเสีย
ประพฤติอยู่ตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุเหล่านี้

กายของพวกข้าพระองค์ต่างกันจริงแล
แต่ว่าจิตดูเหมือนเป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์ยังพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน ยังเป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ แลดูกันและกันด้วยจักษุอันเป็นที่รักอยู่”


ผู้ไม่ประมาท

“ดีละ ดีละ อนุรุทธ พวกเธอเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่หรือ”

 “เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

 “ก็พวกเธอเป็นอย่างนั้นได้ เพราะเหตุอย่างไร”

 “พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส

บรรดาพวกข้าพระองค์ ท่านผู้ใดกลับจากบิณฑบาตแต่บ้านก่อน  ท่านผู้นั้นย่อมปูลาดอาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ไว้ ตั้งถาดสำรับไว้

ท่านผู้ใดกลับจากบิณฑบาตทีหลัง ถ้ามีบิณฑบาตที่เหลือจากฉัน หากประสงค์ ก็ฉัน ถ้าไม่ประสงค์ ก็ทิ้งเสียในที่ปราศจากของเขียว หรือเทลงในน้ำที่ไม่มีสัตว์ ท่านผู้นั้นเก็บอาสนะ เก็บน้ำฉัน เก็บน้ำใช้ เก็บถาดสำรับ กวาดโรงภัต

ท่านผู้ใดเห็นหม้อน้ำฉัน น้ำใช้ หรือหม้อน้ำชำระว่างเปล่า ท่านผู้นั้นก็ยกเข้าไปตั้งไว้ 

ถ้าเหลือวิสัย ก็กวักมือเรียกรูปที่สองแล้วช่วยกันยกเข้าไปตั้งไว้ พวกข้าพระองค์ไม่เปล่งวาจาเพราะข้อนั้นเป็นปัจจัย

และทุกวันที่  พวกข้าพระองค์นั่งสนทนาธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่ง พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปอยู่ ด้วยประการฉะนี้แล”


ธรรมเครื่องอยู่สำราญ

“ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ก็เมื่อพวกเธอเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปอยู่อย่างนี้ คุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว มีอยู่หรือ”

ท่านพระอนุรุทธะกราบทูลว่า

“เพราะเหตุอะไรจะไม่พึงมีเล่า พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า พวกเราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่

เมื่อพวกข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปอยู่

คุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ ที่ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญนี้แล พวกข้าพระองค์ได้บรรลุแล้ว

“ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ก็คุณวิเศษอย่างอื่นที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นี้ มีอยู่หรือ”

“เพราะเหตุอะไรจะไม่พึงมีเล่า พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า พวกเรา บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่

นี้เป็นคุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้น (ปฐมฌาน)

“ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ก็คุณวิเศษอย่างอื่นที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นี้ มีอยู่หรือ”

“เพราะเหตุอะไรจะไม่พึงมีเล่า พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า พวกเรามีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข

นี้เป็นคุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับ แห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้น (ทุติยฌาน)

“ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ก็คุณวิเศษอย่างอื่นที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นี้ มีอยู่หรือ”

“เพราะเหตุอะไรจะไม่พึงมีเล่า พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า พวกเรา บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

นี้เป็นคุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้น (ตติยฌาน)

 “ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ก็คุณวิเศษอย่างอื่นที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นี้ มีอยู่หรือ”

“เพราะเหตุอะไรจะไม่พึงมีเล่า พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา พวกเราบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า อากาศหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่

นี้เป็นคุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้น (จตุตถฌาน)

 “ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ก็คุณวิเศษอย่างอื่นที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นี้ มีอยู่หรือ”

“เพราะเหตุอะไรจะไม่พึงมีเล่า พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุ วิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่

นี้เป็นคุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้น (อากาสานัญจายตนฌาน)

 “ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ก็คุณวิเศษอย่างอื่นที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นี้ มีอยู่หรือ”

“เพราะเหตุอะไรจะไม่พึงมีเล่า พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุ อากิญจัญญายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า น้อยหนึ่งไม่มี ดังนี้อยู่

นี้เป็นคุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้น (วิญญาณัญจายตนฌาน)

 “ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ก็คุณวิเศษอย่างอื่นที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นี้ มีอยู่หรือ”

“เพราะเหตุอะไรจะไม่พึงมีเล่า พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า เพราะล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อยู่

นี้เป็นคุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้น (อากิญจัญญายตนฌาน)

 “ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ก็คุณวิเศษอย่างอื่นที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นี้ มีอยู่หรือ”

“เพราะเหตุอะไรจะไม่พึงมีเล่า พระพุทธเจ้าข้า

พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุ สัญญาเวทยิตนิโรธ อยู่ เพราะเห็นแม้ด้วยปัญญา อาสวะของท่านผู้นั้นย่อมหมดสิ้นไป

นี้เป็นคุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่นที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้บรรลุ เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้น (เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน) พระพุทธเจ้าข้า"


อนึ่ง พวกข้าพระองค์ยังไม่พิจารณาเห็นธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น ที่ยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอันนี้

“ดีละ ดีละ อนุรุทธะ ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่นที่ยิ่งกว่า หรือประณีตกว่าธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญนี้หามีไม่”

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคยังท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมิละ ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป

ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมิละ ส่งเสด็จพระผู้มีพระภาค ครั้นกลับจากที่นั้นแล้ว ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมิละ ได้กล่าวกะท่านพระอนุรุทธะว่า

 “ท่านอนุรุทธะประกาศคุณวิเศษของพวกกระผมจนกระทั่งถึงความสิ้นอาสวะในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค พวกกระผมได้บอกคุณวิเศษนั้นแก่ท่านอนุรุทธะอย่างนี้หรือว่า พวกเราได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ด้วย”

ท่านพระอนุรุทธะกล่าวว่า

“พวกท่านผู้มีอายุมิได้บอกแก่กระผมว่าพวกเราได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ ๆ แต่ว่ากระผมกำหนดใจของพวกท่านด้วยใจ แล้วรู้ได้ว่า ท่านผู้มีอายุได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ด้วย ๆ

แม้พวกเทวดาก็ได้บอกเนื้อความข้อนี้แก่กระผมว่า ท่านได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ด้วย ๆ

กระผมถูกพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาแล้ว จึงทูลถวายพยากรณ์เนื้อความนั้น”

เทวดาสรรเสริญพระเถระ

ลำดับนั้น ทีฆปชนยักษ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นลาภของชาววัชชี ประชาชนชาววัชชีได้ดีแล้ว ในเหตุที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประทับอยู่ และกุลบุตร ๓ ท่านเหล่านี้ คือ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมิละ มาพักอยู่”

พวกภุมมเทวดาได้ฟังเสียงของทีฆปรชนยักษ์แล้ว ได้ประกาศต่อไป

พวกเทพชั้นจาตุมหาราชได้ฟังเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ได้ประกาศต่อไป

พวกเทพชั้นดาวดึงส์ได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นจาตุมหาราชแล้ว ได้ประกาศต่อไป

พวกเทพชั้นยามาได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว ได้ประกาศต่อไป

พวกเทพชั้นดุสิตได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นยามาแล้ว ได้ประกาศต่อไป

พวกเทพชั้นนิมมานรดีได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นดุสิตแล้ว ได้ประกาศต่อไป

พวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดีได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นนิมมานรดีแล้ว ได้ประกาศต่อไป

พวกเทพที่นับเข้าในจำพวกพรหม ได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดีแล้ว ได้ประกาศว่า


“ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เป็นลาภของชาววัชชี ประชาชนชาววัชชีได้ดีแล้ว ในเหตุที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประทับอยู่ และกุลบุตร ๓ ท่าน คือ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมิละ มาพักอยู่”

โดยขณะครู่หนึ่งนั้น เสียงได้เป็นอันรู้กันทั่วจนถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้

ทรงสรรเสริญพระอนุรุทธะ พระนันทิยะ พระกิมิละ

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า

“ดูกรทีฆะ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรทีฆะ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น

กุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จากสกุลใด วงศ์สกุลใด ถ้าสกุลนั้น วงศ์สกุลนั้น มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่สกุลนั้น วงศ์สกุลนั้น ตลอดกาลนาน

กุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จากบ้านใด นิคมใด นครใด ชนบทใด ถ้าบ้านนั้น นิคมนั้น นครนั้น ชนบทนั้น มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่บ้านนั้น นิคมนั้น นครนั้น ชนบทนั้น ตลอดกาลนาน

ถ้ากษัตริย์ทั้งมวล มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่กษัตริย์ทั้งมวล ตลอดกาลนาน

ถ้าพราหมณ์ทั้งมวลมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่พราหมณ์ทั้งมวล ตลอดกาลนาน

ถ้าแพศย์ทั้งมวลมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่แพศย์ทั้งมวล ตลอดกาลนาน

ถ้าศูทรทั้งมวลมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ศูทรทั้งมวล ตลอดกาลนาน


ถ้าโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่โลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก แก่หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ตลอดกาลนาน

ดูกรทีฆะ ท่านจงเห็นเถิด กุลบุตรทั้ง นี้ ปฏิบัติแล้วก็เพียงเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ทีฆปรชนยักษ์ ชื่นชม ยินดี ภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล

 

 

อ้างอิง : จูฬโคสิงคสาลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๓๖๑-๓๖๘ หน้า ๒๗๒-๒๗๙

ภาพ :  น. ณ ปากน้ำ (๒๔๗๑-๒๕๔๔)