2-06 พระเจ้าพิมพิสารส่งบรรณาการถวายพระเจ้าปุกกุสาติ



สถานที่ที่คาดว่าเป็นที่เก็บสมบัติพระเจ้าพิมพิสาร เมืองราชคฤห์

ครั้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสวยราชสมบัติในพระนครราชคฤห์ในมัชฌิมประเทศ พระเจ้าปุกกุสาติเสวยราชสมบัติในพระนครตักกศิลา ในปัจจันตประเทศ  ครั้งนั้น พ่อค้าทั้งหลายต่างก็เอาสินค้าจากพระนครตักกศิลามาสู่พระนครราชคฤห์ นำบรรณาการไปถวายแด่พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารตรัสถามพ่อค้าเหล่านั้น ผู้ยืนถวายบังคมว่า 

“พวกท่านอยู่ที่ไหน”

 “ขอเดชะ อยู่ในพระนครตักกศิลา”

ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามถึงความเกษม ความหาง่ายของภิกษา เป็นต้น ของบ้านเมือง และประวัติแห่งพระนครตักกศิลากะพ่อค้าเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า 

 “พระราชาของพวกท่านมีพระนามอย่างไร”

 “พระนามว่า ปุกกุสาติ พระพุทธเจ้าข้า”

 “ทรงดำรงอยู่ในธรรมหรือ”

อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า ทรงดำรงอยู่ในธรรม ทรงสงเคราะห์ชนด้วยสังคหวัตถุสี่ ทรงดำรงอยู่ในฐานะมารดาบิดาของโลก ทรงยังชนดุจทารกนอนบนตักให้ยินดี”

 “ทรงมีวัยเท่าใด”

 “ทรงมีวัยเท่ากับพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า” 

“ดูกรพ่อทั้งหลาย พระราชาของพวกท่านดำรงอยู่ในธรรม และทรงมีวัยเท่ากับเรา พวกท่านพึงอาจทำพระราชาของพวกท่านให้เป็นมิตรกับเราหรือ”

“อาจ พระพุทธเจ้าข้า”

พระราชาทรงสละภาษีแก่พ่อค้าเหล่านั้น ทรงให้พระราชทานเรือนแล้วตรัสว่า 

“เมื่อพวกท่านขายสินค้าหมดแล้ว มีความประสงค์จะกลับไป พวกท่านพึงพบเราแล้วจึงกลับไป”

พ่อค้าเหล่านั้น  ทำอย่างนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระราชาในเวลากลับ พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า 

“พวกท่านจงทูลแด่พระราชาของท่านตามคำของเราว่า พระเจ้าพิมพิสารทรงพระประสงค์จะสร้างมิตรภาพกับพระองค์” 

พ่อค้าเหล่านั้นทูลรับพระราชโองการแล้ว เดินทางกลับพระนครตักกศิลา เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปุกกุสาติ พระเจ้าปุกกุสาติตรัสถามว่า 

“แนะพนาย พวกท่านไปไหนไม่เห็นหลายวันแล้ว”

พวกพ่อค้าทูลบอกเรื่องราวทั้งหมดแด่พระราชา พระเจ้าปุกกุสาติทรงมีพระหฤทัยยินดี แล้วตรัสว่า

“ดูกรพ่อทั้งหลาย เป็นการดีเช่นกับเรา พระราชาในมัชฌิมประเทศได้มิตรแล้วเพราะอาศัยพวกท่าน”

ในเวลาต่อมา พ่อค้าทั้งหลายแม้อยู่ในพระนครราชคฤห์ ก็ไปสู่พระนครตักกศิลา พระเจ้าปุกกุสาติตรัสถามพ่อค้าเหล่านั้น ผู้ถือบรรณาการมาว่า   

“พวกท่านมาจากไหน”   

พระราชาทรงสดับว่ามาจากพระนครราชคฤห์จึงตรัสถามพระพลานามัยของพระสหาย แล้วให้ตีกลองประกาศว่า  

“จำเดิมแต่วันนี้ พวกพ่อค้าเดินเท้าหรือพวกเกวียนเหล่าใดมาจากพระนครของพระสหายเรา จำเดิมแต่กาลที่พ่อค้าทั้งปวงเข้ามาสู่เขตแดนของเรา จงให้เรือนเป็นที่พักอาศัยและเสบียงจากพระคลังหลวง จงสละภาษี อย่าทำอันตรายใด ๆ แก่พ่อค้าเหล่านั้น”

ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารก็ทรงให้ตีกลองประกาศเช่นนี้เหมือนกันในพระนครของพระองค์ ลำดับนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงส่งพระบรรณาการแก่พระเจ้าปุกกุสาติว่า   

“รัตนะทั้งหลายมีแก้วมณีและมุกดาเป็นต้น ย่อมเกิดในปัจจันตประเทศ รัตนะใดที่ควรเห็นหรือควรฟัง เกิดขึ้นในราชสมบัติแห่งพระสหายของเรา ขอพระสหายเราจงอย่าทรงตระหนี่ในรัตนะนั้น”

ฝ่ายพระเจ้าปุกกุสาติ ก็ทรงส่งพระราชบรรณาการตอบไปว่า

“ธรรมดามัชฌิมประเทศเป็นมหาชนบท รัตนะเห็นปานนี้ใด ย่อมเกิดในมหาชนบทนั้น ขอพระสหายของเราจงอย่าทรงตระหนี่ในรัตนะนั้น”

เหตุกาลล่วงไป ๆ อย่างนี้ พระราชาทั้งสองนั้น แม้ไม่ทรงเห็นกัน ก็เป็นมิตรแน่นแฟ้น เมื่อพระราชาทั้งสองพระองค์นั้น ทรงทำการตรัสอยู่อย่างนี้ บรรณาการย่อมเกิดแก่พระเจ้าปุกกุสาติก่อน พระเจ้าปุกกุสาติราชาทรงได้ผ้ากัมพล ๘ ผืน อันหาค่ามิได้ จึงทรงพระดำริว่า 

“ผ้ากัมพลเหล่านี้งามอย่างยิ่ง เราจักส่งให้พระสหายของเรา”

ทรงรับสั่งกับอำมาตย์ทั้งหลายว่า     

“พวกท่านจงให้ทำผอบแข็งแรง ๘ ผอบ เท่าก้อนครั่ง ใส่ผ้ากัมพลเหล่านั้นในผอบเหล่านั้น ให้ประทับพันด้วยผ้าขาวอีกครั้ง ใส่ในหีบพันด้วยผ้า ประทับด้วยตราพระราชลัญจกรแล้วถวายแก่พระสหายของเรา”

และได้พระราชทานพระราชสาส์นไปทูลถวายแด่พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารนั้น ทรงสดับพระราชสาส์น ทรงทำลายรอยประทับ เปิดผ้าออก เปิดผอบ แก้เครื่องภายในทรงเห็นก้อนครั่ง ทรงจับก้อนอันหนึ่งแล้วทรงทุบด้วยพระหัตถ์ พิจารณาดูก็ไม่ทรงทราบว่าภายในมีเครื่องผ้า ลำดับนั้น ทรงทุบก้อนครั่งนั้นที่เชิงพระราชบัลลังก์ ทันใดนั้น ครั่งก็แตกออก พระองค์ทรงเปิดผอบด้วยพระนขา ทรงเห็นกัมพลรัตนะภายในแล้ว ทรงให้เปิดผอบทั้งหลาย แม้นอกนี้ แม้ทั้งหมดก็เป็นผ้ากัมพล

ลำดับนั้น ทรงให้คลี่ผ้ากัมพลเหล่านั้น ผ้ากัมพลเหล่านั้นถึงพร้อมด้วยสี ถึงพร้อมด้วยผัสสะ ยาว ๑๖ ศอก กว้าง ๘ ศอก ทรงให้ตีราคาผ้ากัมพลแต่ละผืน ผ้ากัมพลทุกผืนหาค่ามิได้ ในผ้ากัมพลแปดผืนนั้น ทรงถวายสี่ผืนแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงไว้ใช้สี่ผืนในพระราชวังของพระองค์ แต่นั้น ทรงพระราชดำริว่า   

“การที่เราเมื่อจะส่งบรรณาการไปในภายหลัง ก็ควรส่งบรรณาการดีกว่าบรรณาการที่ส่งมาแล้วก่อนหน้านี้ ก็พระสหายได้ส่งบรรณาการอันหาค่ามิได้แก่เรา เราจะส่งอะไรดีหนอ ก็ในกรุงราชคฤห์ไม่มีวัตถุที่ดียิ่งกว่านั้น เว้นจากพระรัตนตรัยแล้ว ไม่มีสิ่งใดอื่นที่ชื่อว่าสามารถเพื่อยังพระโสมนัสให้เกิดขึ้นได้”

พระองค์จึงทรงปรารภเพื่อทรงเลือกรัตนะ

ธรรมดารัตนะมี ๒ อย่าง คือ มีวิญญาณ ไม่มีวิญญาณ ในรัตนะ๒ อย่างนั้น รัตนะที่ไม่มีวิญญาณ ได้แก่ ทองและเงิน เป็นต้น ที่มีวิญญาณได้แก่สิ่งที่เนื่องกับอินทรีย์ รัตนะที่ไม่มีวิญญาณเป็นเครื่องใช้ ด้วยสามารถแห่งเครื่องประดับ เป็นต้น ในรัตนะ ๒ อย่างนี้ รัตนะที่มีวิญญาณประเสริฐที่สุด

รัตนะแม้มีวิญญาณมี ๒ อย่าง คือ ดิรัจฉานรัตนะ มนุษยรัตนะ ในรัตนะ ๒ อย่างนั้น ดิรัจฉานรัตนะ ได้แก่ ช้างแก้วและม้าแก้ว ดิรัจฉานรัตนะแม้นั้น เกิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องใช้ของมนุษย์ทั้งหลายนั้นเทียว ในรัตนะ ๒ อย่างนั้น มนุษยรัตนะประเสริฐที่สุดด้วยประการฉะนี้

แม้มนุษยรัตนะก็มี ๒ อย่าง คือ อิตถีรัตนะ ปุริสรัตนะ ในรัตนะ ๒ อย่างนั้น แม้อิตถีรัตนะ ซึ่งเกิดแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมเป็นอุปโภคของบุรุษแล ในรัตนะ ๒ อย่างนี้ ปุริสรัตนะประเสริฐที่สุดด้วยประการฉะนี้

แม้ปุริสรัตนะก็มี ๒ อย่างคือ อาคาริกรัตนะ ๑ อนาคาริกรัตนะ ๑ แม้ในอาคาริกรัตนะนั้น พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงนมัสการสามเณรที่บวชในวันนี้ด้วยพระเบญจางคประดิษฐ์ ในรัตนะทั้ง  ๒ อย่างแม้นี้ อนาคาริกรัตนะเท่านั้นประเสริฐที่สุด

แม้อนาคาริกรัตนะก็มี ๒ อย่างคือ  เสกขรัตนะ ๑ อเสกรัตนะ ๑ ในอนาคาริกรัตนะ ๒ อย่างนั้น พระเสกขะตั้งแสนย่อมไม่ถึงส่วนแห่งพระอเสกขะ ในรัตนะ ๒ อย่างแม้นี้ อเสกขรัตนะเท่านั้นประเสริฐที่สุด

อเสกขรัตนะแม้นั้น ก็มี ๒ อย่าง คือ พุทธรัตนะ สาวกรัตนะ ในอเสกขรัตนะนั้น สาวกรัตนะแม้ตั้งแสนก็ไม่ถึงส่วนของพุทธรัตนะ ในรัตนะ ๒ อย่างแม้นี้ พุทธรัตนะเท่านั้นประเสริฐที่สุดด้วยประการฉะนี้

แม้พุทธรัตนะก็มี  ๒ อย่าง ชื่อ ปัจเจกพุทธรัตนะ สัพพัญญูพุทธรัตนะ ในพุทธรัตนะนั้น ปัจเจกพุทธรัตนะแม้ตั้งแสนก็ไม่ถึงส่วนของสัพพัญญูพุทธเจ้า ในรัตนะ ๒ อย่าง แม้นี้ สัพพัญญูพุทธรัตนะเท่านั้นประเสริฐที่สุดด้วยประการฉะนี้

ก็ขึ้นชื่อว่ารัตนะที่เสมอด้วยพุทธรัตนะย่อมไม่มีในโลกพร้อมทั้งเทวโลก เพราะฉะนั้นจึงทรงพระราชดำริว่า      

“เราจักส่งรัตนะที่ไม่มีอะไรเสมอเท่านั้น แก่พระสหายของเรา”

แล้วจึงตรัสถามพวกพ่อค้าชาวนครตักกศิลาว่า 

“ดูกรพ่อทั้งหลาย รัตนะ ๓ อย่างนี้ คือ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ย่อมปรากฏในชนบทของพวกท่านหรือ”

“ข้าแต่มหาราช แม้เสียงก็ไม่มีในชนบทนั้น ก็การเห็นจักมีแต่ที่ไหนเล่า”

พระเจ้าพิมพิสารทรงยินดีแล้ว ทรงพระราชดำริว่า

“เราอาจจะส่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสู่สถานที่เป็นที่อยู่ของพระสหายเราเพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ชน แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงแรมคืนในปัจจันตชนบททั้งหลาย เพราะฉะนั้น พระศาสดาจะไม่อาจเสด็จไป พึงอาจส่งพระมหาสาวกมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นต้น แต่เราฟังมาว่าพระเถระทั้งหลายอยู่ในปัจจันตชนบท สมควรส่งคนทั้งหลายไปนำพระเถระเหล่านั้นมาสู่ที่ใกล้ตนแล้วบำรุงเทียว เพราะฉะนั้น แม้พระเถระทั้งหลายไม่อาจไป ครั้นส่งสาส์นไปแล้วด้วยบรรณาการใด พระศาสดาและพระมหาสาวกทั้งหลายก็เป็นเหมือนไปแล้ว เราจักส่งสาส์นด้วยบรรณาการนั้น เราจะให้ทำแผ่นทองคำยาว ๔ ศอก กว้างประมาณ ๑ คืบ หนาพอควรไม่บางนัก ไม่หนานัก แล้วจักลิขิตอักษรลงในแผ่นทองคำนั้นในวันนี้”

พระราชาทรงสนานพระเศียรตั้งแต่เช้าตรู่ ทรงอธิษฐานองค์พระอุโบสถ ทรงเสวยพระยาหารเช้า ทรงเปลื้องพระสุคนธมาลาและอาภรณ์ออก ทรงถือชาดสีแดงด้วยพระขันทอง ทรงปิดพระทวารทั้งหลายตั้งแต่ชั้นล่าง เสด็จขึ้นพระปราสาท ทรงเปิดพระสีหบัญชรด้านทิศตะวันออก ประทับนั่งบนพื้นอากาศ ทรงลิขิตพระอักษรลงในแผ่นทองคำ ทรงลิขิตพระพุทธคุณโดยเอกเทศก่อนว่า

พระตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี ทรงรู้แจ้งโลก ทรงเป็นสารถีฝึกตนอย่างยอดเยี่ยม เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงตื่นแล้ว ทรงจำแนกพระธรรม เสด็จอุบัติในโลกนี้

จากนั้น ทรงลิขิตว่า   

พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศอย่างนี้ ทรงจุติจากชั้นดุสิต ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์พระมารดา การเปิดโลกได้มีแล้วอย่างนี้ เมื่อทรงอยู่ในพระครรภ์มารดา ชื่อนี้ได้มีแล้ว เมื่อทรงอยู่ครอบครองเรือน ชื่อนี้ได้มีแล้ว เมื่อเสด็จออกพระมหาภิเนษกรมณ์อย่างนี้ ทรงเริ่มตั้งความเพียรอันยิ่งใหญ่อย่างนี้ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างนี้ เสด็จขึ้นสู่ควงมหาโพธิ์ ประทับนั่งบนอปราชิตบัลลังก์แล้ว ทรงแทงตลอดสัพพัญญูตญาณ เมื่อทรงแทงตลอดสัพพัญญูตญาณ เป็นอันมีการเปิดโลกแล้วอย่างนี้ ชื่อว่ารัตนะเห็นปานนี้ ไม่มีในโลกพร้อมกับเทวโลก

ทรงลิขิตพระพุทธคุณทั้งหลายโดยเอกเทศอย่างนี้ว่า

 “ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ หรือโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีตในสวรรค์  ทรัพย์และรัตนะนั้น เสมอด้วยพระตถาคตไม่มี พุทธรัตนะแม้นี้ เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี”

เมื่อจะทรงชมเชยธรรมรัตนะที่สองว่า    

พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้าใส่ตน อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตน

ดังนี้แล้ว ทรงลิขิตโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการโดยเอกเทศว่า

สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ชื่อว่า พระธรรมอันพระศาสดาทรงแสดงแล้ว เห็นปานนี้และเห็นปานนี้

ดังนี้แล้วทรงลิขิตพระธรรมคุณทั้งหลายโดยเอกเทศว่า

“พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ทรงสรรเสริญแล้วซึ่งสมาธิใด ว่าเป็นธรรมอันสะอาด บัณฑิตทั้งหลายกล่าวซึ่งสมาธิใดว่าให้ผลในลำดับ สมาธิอื่นเสมอด้วยสมาธินั้นย่อมไม่มี ธรรมรัตนะแม้นี้ เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี”

ต่อแต่นั้น  เมื่อจะทรงชมเชยพระสังฆรัตนะที่สามว่า 

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติชอบ เป็นผู้ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ควรแก่ของคำนับ เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรแก่การอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก

ดังนี้ ทรงลิขิต

จุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีลโดยเอกเทศว่า ธรรมดากุลบุตรทั้งหลายฟังธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว ออกบวชอย่างนี้ บางพวกละเศวตฉัตรบวช บางพวกละความเป็นอุปราชบวช บางพวกละตำแหน่งทั้งหลาย มีตำแหน่งเสนาบดี เป็นต้น บวช ครั้นบวชแล้ว บำเพ็ญปฏิบัตินี้

ทรงลิขิต

การสำรวมในทวารหก สติสัมปชัญญะ ความยินดีในการเจริญสันโดษด้วยปัจจัยสี่ การละนิวรณ์ บริกรรมฌาน และอภิญญากรรมฐาน ๓๘ ประการ จนถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะโดยเอกเทศ

ทรงลิขิต

อานาปานสติกรรมฐาน ๖ ประการ โดยพิสดาร

ทรงลิขิตพระสังฆคุณทั้งหลายโดยเอกเทศว่า ชื่อว่า พระสงฆ์สาวกของพระศาสดาถึงพร้อมด้วยคุณทั้งหลายเห็นปานนี้ ดังนี้

“บุคคลเหล่าใด ๘ จำพวก ๔ คู่ อันสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นควรแก่ทักษิณาทาน เป็นสาวกของพระสุคต ทานทั้งหลายอันบุคคลถวายแล้วในท่านเหล่านั้นย่อมมีผลมาก สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี”

ทรงลิขิตว่า

ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสดีแล้ว เป็นศาสนานำสัตว์ออกจากทุกข์ ถ้าพระสหายของเราจะอาจไซร้ ขอได้เสด็จออกทรงผนวชเถิด 

ทรงม้วนแผ่นทองคำ พันด้วยผ้ากัมพลเนื้อละเอียด ทรงใส่ในหีบอันแข็งแรง ทรงวางหีบนั้นในหีบทองคำ ทรงวางหีบทองคำลงในหีบเงิน ทรงวางหีบเงินลงในหีบแก้วมณี ทรงวางหีบแก้วมณีลงในหีบแก้วประพาฬ ทรงวางหีบแก้วประพาฬลงในหีบทับทิม ทรงวางหีบทับทิมลงในหีบแก้วมรกต ทรงวางหีบแก้วมรกตลงในหีบแก้วผลึก ทรงวางหีบแก้วผลึกลงในหีบงา ทรงวางหีบงาลงในหีบรัตนะทุกอย่าง ทรงวางหีบรัตนะทุกอย่างลงในหีบเสื่อลำแพน ทรงวางหีบเสื่อลำแพนลงในผอบแข็งแรง ทรงวางผอบแข็งแรงลงในผอบทองอีก ทรงนำไปโดยนัยก่อนนั้น ทรงวางผอบที่ทำด้วยรัตนะทุกอย่างลงในผอบที่ทำด้วยเสื่อลำแพน

แต่นั้น ทรงวางผอบที่ทำด้วยเสื่อลำแพนลงในหีบที่ทำด้วยไม้แก่น ทรงนำไปโดยนัยกล่าวแล้วอีกนั้นเทียว ทรงวางหีบที่ทำด้วยรัตนะทุกชนิดลงในหีบที่ทำด้วยเสื่อลำแพน ข้างนอกทรงพันด้วยผ้าประทับตราพระราชลัญจกร ตรัสสั่งอำมาตย์ทั้งหลายว่า         

“ท่านทั้งหลายจงตกแต่งทางในสถานที่ซึ่งอยู่ในอำนาจของเรา ทำให้กว้าง ๘ อุสภะ สถานที่ ๔ อุสภะต้องให้งามเสมอ ท่านทั้งหลายจงตกแต่งสถานที่ ๔ อุสภะ จงประดับช้างมงคล จัดบัลลังก์บนช้างนั้น ยกเศวตฉัตร ทำถนนพระนครให้สวยงาม ประดับประดาอย่างดีด้วยธงปฏากอันงดงาม ต้นกล้วย หม้อน้ำที่เต็ม ของหอม ธูป และดอกไม้ เป็นต้น จงทำบูชาเห็นปานนี้ในสถานที่ครอบครองของตน ๆ”

ส่วนพระองค์ทรงประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง อันกองกำลังพร้อมกับดนตรีทุกชนิดแวดล้อม เสด็จไปจนสุดพระราชอาณาเขตของพระองค์แล้ว ได้พระราชทานพระราชสาส์นสำคัญแก่อำมาตย์แล้วตรัสว่า     

“ดูกรพ่อ พระเจ้าปุกกุสาติพระสหายของเรา เมื่อจะทรงรับบรรณาการนี้ อย่ารับในท่ามกลางตำหนักนางสนมกำนัล จงเสด็จขึ้นพระปราสาทแล้วทรงรับเถิด”

ครั้นพระราชทานพระราชสาส์นนี้แล้ว ทรงพระราชดำริว่า 

“พระผู้มีพระภาคเสด็จไปสู่ปัจจันตประเทศ” ทรงนมัสการด้วยพระเบญจางคประดิษฐ์แล้วเสด็จกลับ

ส่วนข้าราชการภายในทั้งหลาย ตกแต่งทางโดยทำนองนั้นเทียว นำไปซึ่งพระราชบรรณาการ

ฝ่ายพระเจ้าปุกกุสาติทรงตกแต่งทางโดยทำนองนั้น ตั้งแต่รัชสีมาของพระองค์ ทรงให้ประดับประดาพระนคร ได้ทรงกระทำการต้อนรับพระราชบรรณาการ

พระราชบรรณาการเมื่อถึงพระนครตักกศิลา ได้ถึงในวันอุโบสถ ฝ่ายอำมาตย์ผู้รับพระราชบรรณการไป ทูลบอกพระราชสาส์นที่กล่าวแด่พระเจ้าปุกกุสาติ พระราชาทรงสดับพระราชสาส์นนั้นแล้ว ทรงพิจารณากิจควรทำแก่อำมาตย์ทั้งหลายผู้มาพร้อมกับพระราชบรรณาการ ทรงถือพระราชบรรณาการ เสด็จขึ้นสู่พระปราสาทแล้วตรัสว่า  

“ใคร ๆ อย่าเข้ามาในที่นี้”

ทรงให้ทำการรักษาประตูทวาร ทรงเปิดพระสีหบัญชร ทรงวางพระราชบรรณาการบนที่พระบรรทมสูง ส่วนพระองค์ประทับนั่งบนอาสนะต่ำ ทรงทำลายรอยประทับ ทรงเปลื้องเครื่องห่อหุ้ม เมื่อทรงเปิดโดยลำดับ จำเดิมแต่หีบเสื่อลำแพน ทรงเห็นหีบซึ่งทำด้วยแก่นจันทร์ ทรงพระราชดำริว่า   

“ชื่อว่ามหาบริวารนี้ จักไม่มีแก่รัตนะอื่น รัตนะที่ควรฟังได้เกิดขึ้นแล้วในมัชฌิมประเทศแน่แท้"

ลำดับนั้น ทรงเปิดหีบนั้นแล้ว ทรงทำลายรอยประทับพระราชลัญจนะ ทรงเปิดผ้ากัมพลอันละเอียดทั้งสองข้าง ทรงเห็นแผ่นทองคำ พระองค์ทรงคลี่แผ่นทองคำนั้นออก ทรงพระราชดำริว่า “พระอักษรทั้งหลายน่าพอใจจริงหนอ มีหัวเท่ากัน มีระเบียบเรียบร้อย มีมุมสี่”

ทรงปรารภเพื่อจะทรงอ่านจำเดิมแต่ต้น พระโสมนัสอันมีกำลังได้เกิดขึ้นแก่พระองค์ที่ทรงอ่านแล้วอ่านอีกซึ่งพระพุทธคุณทั้งหลายว่า พระตถาคตทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ ขุมพระโลมาเก้าหมื่นเก้าพันขุมก็มีปลายพระโลมาชูชันขึ้น พระองค์ไม่ทรงทราบถึงความที่พระองค์ประทับยืน หรือประทับนั่ง ลำดับนั้น พระปีติอันมีกำลังอย่างยิ่งได้บังเกิดขึ้นแก่พระองค์ว่า  

“เราได้ฟังพระศาสนาที่หาได้โดยยากนี้ แม้โดยแสนโกฏิกัป เพราะอาศัยพระสหาย”

พระองค์เมื่อไม่อาจทรงอ่านต่อไป ก็ประทับนั่งจนกว่ากำลังปีติสงบระงับ แล้วทรงปรารภพระธรรมคุณทั้งหลายต่อไปว่า

“พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว”

พระองค์ทรงมีพระปีติอย่างนั้นแม้ในพระธรรมคุณนั้นเทียว พระองค์ประทับนั่งอีกจนกว่าความสงบแห่งกำลังปีติ ทรงปรารภพระสังฆคุณทั้งหลายต่อไปว่า

“พระสงฆ์สาวกเป็นผู้ปฏิบัติดี”

ในพระสังฆคุณแม้นั้น พระองค์ก็ทรงมีพระปีติอย่างนั้นเหมือนกัน

ลำดับนั้น ทรงอ่านอานาปานสติกัมมัฏฐาน ในลำดับสุดท้าย ทรงยังฌานหมวด ๔ และหมวด ๕ ให้เกิดขึ้น พระองค์ทรงยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขในฌานนั้น และใครอื่นย่อมไม่ได้เห็น มหาดเล็กประจำพระองค์คนเดียวเท่านั้นเข้าไปได้ ทรงยังเวลาประมาณกึ่งเดือนให้ผ่านไป

ชาวพระนครทั้งหลายประชุมกันในพระลานหลวง ได้ทำการโห่ร้องตะโกนว่า   

“จำเดิมแต่วันที่พระราชาทรงรับพระราชบรรณาการแล้ว ไม่มีการทอดพระเนตรพระนคร หรือการทอดพระเนตรดูนางฟ้อนรำ ไม่มีการพระราชทานวินิจฉัย พระราชาจงทรงพระราชทานพระราชบรรณาการที่พระสหายส่งมาให้แก่ผู้รับไปเถิด ธรรมดาพระราชาทั้งหลายย่อมทรงพยายามเพื่อหลอกลวงแม้ด้วยเครื่องบรรณาการ ยึดพระราชสมบัติของพระราชาบางพระองค์ให้แก่ตน พระราชาของพวกเราทรงทำอะไรหนอ”

เมื่อพระราชาทรงสดับเสียงตะโกนแล้วทรงพระราชดำริว่า   

“เราจะธำรงไว้ซึ่งราชสมบัติหรือพระศาสดา”

ลำดับนั้น  พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า

“ประธานและมหาอำมาตย์ของประธานย่อมไม่อาจจะนับความที่เราเสวยราชสมบัติได้ เราจักธำรงไว้ซึ่งพระศาสนาของพระศาสดา” 

แล้วทรงจับพระแสงดาบที่ทรงวางไว้บนพระที่บรรทม ตัดพระเกศาแล้ว ทรงเปิดพระสีหบัญชร ทรงยังกำพระเกศาพร้อมกับพระจุฑามณีให้ตกลงในท่ามกลางบริษัทว่า       

“ท่านทั้งหลายถือเอากำเกศานี้ครองราชสมบัติเถิด”

ลำดับนั้น ทรงส่งมหาดเล็กประจำพระองค์ให้นำผ้ากาสาวพัสตร์สองผืนและบาตรดินจากในตลาด ทรงอุทิศต่อพระศาสดาว่า     

“พระอรหันต์เหล่าใดในโลก เราบวชอุทิศพระอรหันต์เหล่านั้น”

ดังนี้แล้ว ทรงนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงห่มผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงสะพายบาตร ทรงถือธารพระกร ทรงจงกรมไปมาสองสามครั้งในพื้นใหญ่ ด้วยพระราชดำริว่า    

“บรรพชาของเรางามหรือไม่” ดังนี้แล้ว ทรงเปิดพระทวาร เสด็จลงจากพระปราสาท

ก็ประชาชนทั้งหลาย เห็นนางฟ้อนผู้ยืนที่ประตูทั้งสาม เป็นต้น แต่จำพระราชาซึ่งเสด็จลงมาไม่ได้ พากันคิดว่า

“พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาเพื่อแสดงธรรมกถาแก่พระราชาของพวกเรา”

แต่ครั้นขึ้นบนพระปราสาทแล้ว เห็นแต่ที่ประทับยืนและที่ประทับนั่ง เป็นต้น ของพระราชา รู้ว่า พระราชาเสด็จไปเสียแล้ว

ลำดับนั้น พระเจ้าปุกกุสาติผู้กลายเป็นกุลบุตรปุกกุสาติ มีความคิดอย่างนี้ว่า    

“พระศาสดาของเราเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบรรพชาพระองค์เดียว เสด็จไปพระองค์เดียว เราละอายต่อพระศาสดา ได้ยินว่าพระศาสดาของเราทรงบรรพชาแล้ว ไม่เสด็จขึ้นยาน และไม่ทรงสวมฉลองพระบาทโดยที่สุดแม้ชั้นเดียว ไม่ทรงกั้นร่มกระดาษ เราเดินทางไกลไม่อาจจะไปทางหนึ่งได้" จึงเสด็จติดตามพ่อค้าพวกหนึ่ง

เมื่อกุลบุตรผู้สุขุมมาลไปในแผ่นดินที่ร้อนระอุ พื้นพระบาททั้งสองข้างก็กลัดหนองแตกเป็นแผล ทุกข์เวทนาก็เกิดขึ้น ครั้นเมื่อพวกพ่อค้าตั้งค่ายพักนั่งแล้ว กุลบุตรก็ลงจากทางนั่ง ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง กุลบุตรเข้าอานาปานจตุตถฌาน ข่มความลำบากในทางความเหน็ดเหนื่อยและ ความเร่าร้อน ยังเวลาให้ผ่านไปด้วยความยินดีในฌาน

ในวันรุ่งขึ้น เมื่ออรุณขึ้นแล้วทำการปฏิบัติสรีระ เดินติดตามพวกพ่อค้าอีก ในเวลาอาหารเช้า พวกพ่อค้ารับบาตรของกุลบุตรแล้วใส่ขาทนียะและชะนียะลงในบาตรถวาย ขาทนียะและโภชนียะนั้นเป็นข้าวสารดิบบ้าง เศร้าหมองบ้าง แข็งเสมอกับก้อนกรวดบ้าง จืดและเค็มจัดบ้าง กุลบุตรพิจารณาสถานที่พัก บริโภคขาทนียะและโภชนียะนั้นดุจอมฤตโดยทำนองนั้น เดินไปสิ้นทาง  ๑๙๒ โยชน์

แม้จะเดินไปใกล้ซุ้มประตูพระเชตวันก็ตาม แต่ก็ไม่ถามว่าพระศาสดาประทับอยู่ ณ ที่ไหน เพราะเคารพในพระศาสดา และเพราะอำนาจแห่งพระราชสาส์นที่พระเจ้าพิมพิสารทรงส่งมานั้น ทรงทำดุจพระศาสดาทรงอุบัติในกรุงราชคฤห์ว่า พระตถาคตทรงอุบัติในโลกนี้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ถาม

ในเวลาพระอาทิตย์ตก กุลบุตรนั้นไปถึงกรุงราชคฤห์ จึงถามชาวบ้านว่า

“พระศาสดาทรงประทับ ณ ที่ไหน”

ชาวบ้านชาวมคธตอบว่า “ท่านมาจากที่ไหนขอรับ” 

“จากอุตตรประเทศนี้”

“พระนครชื่อว่าสาวัตถี อยู่ในทางที่ท่านมา ไกลจากพระนครราชคฤห์นี้ประมาณ ๔๕ โยชน์ พระศาสดาประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถีนั้น”

กุลบุตรนั้นคิดว่า   

“บัดนี้ไม่ใช่กาล เราไม่อาจกลับ วันนี้เราพักอยู่ในที่นี้ก่อน พรุ่งนี้จักไปสู่สำนักพระศาสดา”

แล้วจึงถามว่า  

“เหล่าบรรพชิตที่มาถึงในยามวิกาลพัก ณ ที่ไหน”

ชาวมคธตอบว่า “พัก ณ ศาลานายช่างหม้อชื่อภัคควะ”

ลำดับนั้น กุลบุตรนั้นขอพักกะนายช่างหม้อนั้นแล้ว เข้าไปนั่งอาศัยในศาลาของนายช่างหม้อนั้น

ในเวลาใกล้รุ่งวันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลก ทรงเห็นกุลบุตรชื่อว่า ปุกกุสาติ ทรงพระดำริว่า    

“กุลบุตรนี้อ่านเพียงสาส์นที่พระสหายส่งไป ละราชสมบัติใหญ่เกินร้อยโยชน์ บวชอุทิศเจาะจงเรา เดินทางสิ้น ๑๙๒ โยชน์ ถึงกรุงราชคฤห์ ก็เมื่อเราไม่ไป จักไม่แทงตลอดสามัญญผล ๓ จะทำกาลกิริยาไร้ที่พึ่งโดยการพักคืนเดียว แต่ครั้นเมื่อเราไปแล้ว จักแทงตลอดสามัญญผล ๓  ก็เราบำเพ็ญบารมีทั้งหลายสิ้นสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ชนเท่านั้น เราจักทำการสงเคราะห์แก่กุลบุตรปุกกุสาตินั้น”

เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำริดังนี้แล้ว ทรงทำการปฏิบัติพระสรีระแต่เช้าตรู่ มีพระภิกษุสงฆ์แวดล้อม เสด็จบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ภายหลังภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาต เสด็จเข้าพระคันธกุฎี แล้วทรงพระดำริว่า  

“กุลบุตรได้ทำกิจที่ทำได้ยากเพราะความเคารพในเรา ละราชสมบัติเกินหนึ่งร้อยโยชน์ ออกไปเพียงคนเดียว”

พระองค์เองก็ทรงถือบาตรและจีวรของพระองค์เสด็จออกไปเพียงพระองค์เดียว และเมื่อเสด็จไปก็ไม่ได้ทรงเหาะไป ไม่ทรงย่นแผ่นดิน ทรงพระดำริอีกว่า    

“กุลบุตรละอายต่อเราไม่นั่งแม้ในยานหนึ่ง ในบรรดาช้าง ม้า รถ และวอทอง เป็นต้น โดยที่สุด ไม่สวมรองเท้าชั้นเดียว ไม่กางร่มกระดาษออกไป แม้เราก็ควรไปด้วยเท้าเท่านั้น” ดังนี้  

จึงเสด็จไปด้วยพระบาท พระองค์ทรงปกปิดพระพุทธสิรินี้ คือ อนุพยัญชนะ ๘๐ รัศมี  ๑ วา มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ เสด็จไปด้วยเพศของภิกษุรูปหนึ่งดุจพระจันทร์เพ็ญที่หมอกเมฆปกปิดไว้ โดยปัจฉาภัตเดียวเท่านั้น ก็เสด็จไปได้  ๔๕ โยชน์ ในเวลาพระอาทิตย์ตกก็เสด็จถึงศาลาของนายช่างหม้อนั้น ในขณะที่กุลบุตรเข้าไปแล้วนั้นแล

 

 

อ้างอิง : อรรถกถา ธาตุวิภังคสูตร