9-03 ทรงติเตียนและห้ามภิกษุชาวโกสัมพีไม่ให้วิวาทกัน



ซากโบราณสถานเมืองโกสัมพี

ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะ ถึงการวิวาทกัน แสดงกายกรรม วจีกรรม อันไม่สมควรต่อกันและกัน ทำปรามาสกันด้วยมือในโรงภัตร ในละแวกบ้าน คนทั้งหลายเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า

"ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทั้งหลาย จึงได้เกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะ ถึงการวิวาท แสดงกายกรรม วจีกรรม อันไม่สมควรต่อกันและกัน ทำปรามาสกันด้วยมือ ในโรงภัตร ในละแวกบ้านเล่า"

ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า

"ไฉนภิกษุทั้งหลาย จึงได้เกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะ ถึงการวิวาทกัน.... ทำปรามาสกันด้วยมือในโรงภัตรในละแวกบ้านเล่า"

แล้วได้กราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค

ทรงสอบถาม

พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุทั้งหลาย เกิดความบาดหมาง .... ทำปรามาสกันด้วยมือ ในโรงภัตร ในละแวกบ้าน จริงหรือ?”

ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า

“จริง พระพุทธเจ้าข้า”

ทรงติเตียนภิกษุ

ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว แต่ยังทำกิจอันเป็นธรรม

เมื่อถ้อยคำไม่ชวนให้ชื่นชมต่อกันเป็นไปอยู่ พวกเธอพึงนั่งเหนืออาสนะ โดยนึกในใจว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พวกเราจักไม่แสดงกายกรรม วจีกรรม อันไม่สมควรต่อกันและกัน จักไม่ทำปรามาสกันด้วยมือ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว แต่ยังทำกิจที่เป็นธรรม

เมื่อถ้อยคำอันชวนให้ชื่นชมต่อกันเป็นไปอยู่ พวกเธอพึงนั่งในแถว มีอาสนะอันหนึ่งคั่นในระหว่าง”

สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะ ถึงการวิวาทกัน ย่อมทิ่มแทงกันด้วยหอก คือ ปาก ในท่ามกลางสงฆ์อยู่ ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจระงับอธิกรณ์นั้นได้

ครั้งนั้น มีภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปในพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ภิกษุรูปนั้นยืนเฝ้าเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า

“พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุทั้งหลายในวัดโฆสิตารามนี้ เกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะ ถึงการ วิวาทกัน ย่อมทิ่มแทงกันด้วยหอก คือ ปาก ในท่ามกลางสงฆ์อยู่ ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจระงับอธิกรณ์นั้นได้

ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงโปรดอาศัยความอนุเคราะห์เสด็จเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนา ด้วยอาการดุษณี

ทรงห้ามภิกษุไม่ให้ทะเลาะกัน

ครั้นแล้ว ได้เสด็จเข้าไปหาภิกษุนั้น ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย ประทับนั่งแล้วได้ตรัสคำนี้แก่ภิกษุเหล่านั้นว่า

“อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าบาดหมาง อย่าทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง อย่าวิวาทกันเลย”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุอธรรมวาทีรูปหนึ่งได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า

ขอพระผู้มีพระภาคผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรม จงทรงพระกรุณารอก่อน

ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงมีความขวนขวายน้อย ประกอบสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระพุทธเจ้าจักปรากฏด้วยความบาดหมาง ด้วยความทะเลาะ ด้วยความแก่งแย่ง ด้วยการวิวาทนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้แก่ภิกษุเหล่านั้นเป็นคำรบสองว่า

“อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าบาดหมาง อย่าทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง อย่าวิวาทกันเลย”

ภิกษุอธรรมวาทีนั้น ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเป็นคำรบสองว่า

ขอพระผู้มีพระภาคผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรม จงทรงพระกรุณารอก่อน

ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงมีความขวนขวายน้อย ประกอบสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระองค์จักปรากฏด้วยความบาดหมาง ด้วยความทะเลาะ ด้วยความแก่งแย่ง ด้วยการวิวาทนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

แล้วทรงแสดงอดีตนิทานเรื่อง ฑีฆาวุกุมาร แก่ภิกษุเหล่านั้น

ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระโอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้นเป็นคำรบสามว่า

“อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย อย่าบาดหมางกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน อย่าวิวาทกันเลย”

อธรรมวาทีภิกษุรูปนั้น ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเป็นคำรบสาม

พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรมได้โปรดทรงยับยั้งเถิด

ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงมีความขวนขวายน้อย ประกอบสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระพุทธเจ้าจักปรากฏด้วยความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง การวิวาทนั้น”

พระผู้มีพระภาคจึงทรงดำริว่า

“โมฆบุรุษเหล่านี้หัวดื้อนักแล เราจะให้โมฆบุรุษเหล่านี้เข้าใจกัน ทำไม่ได้ง่ายเลย”

ดังนี้แล้ว เสด็จลุกจากพระพุทธอาสน์ กลับไป

 

 

อ้างอิง : พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๕ ข้อที่ ๒๔๑-๒๔๒, ๒๔๕ หน้า ๒๕๐-๒๕๒, ๒๖๒