เราเป็นพระสัมพุทธเจ้านามว่า โคดม เจริญในศากยสกุล นครของเราชื่อกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นโยมบิดาของเรา โยมมารดาบังเกิดเกล้าของเราพระนามว่า มายาเทวี เราครอบครองอาคารสถานอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อสุจันทะ โกกนุทะ และโกญจะ มีสนมนารีกำนัลใน ๘๔,๐๐๐ นาง ล้วนประดับประดา สวยงาม
มเหสีของเรานามว่า ยโสธรา บุตรชายของเราชื่อว่า ราหุล เราเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกผนวชด้วยอัสวราชยาน ได้บำเพ็ญเพียรประพฤติทุกกรกิริยาอยู่ ๖ ปี
เราบำเพ็ญเพียรแล้ว ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม พรหมอาราธนาแล้ว ประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ ๑๘ โกฏิ
ต่อแต่นั้น เมื่อเราแสดงธรรมในสมาคมมนุษย์และเทวดา ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้
ในคราวที่เรากล่าวสอนราหุลบุตรของเรา ณ ที่นี้แล ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้
เรามีการประชุมพระสาวกผู้แสวงหาคุณใหญ่ครั้งเดียว ภิกษุที่ประชุมกันมี ๑,๒๕๐ รูป เราผู้ปราศจากมลทินรุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ เราให้สิ่งที่ปรารถนาทุกอย่าง เหมือนแก้วมณีให้สิ่งที่ต้องการทั้งปวง ฉะนั้น
เราประกาศจตุราริยสัจเพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลายผู้หวังผล ผู้แสวงหาธรรมเครื่องละความพอใจในภพ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๒๐๐,๐๐๐
ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์โดยจะคณนานับมิได้
คำสั่งสอนของเราผู้เป็นศากยมุนี กว้างขวาง เจริญแพร่หลาย งอกงามดี บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก
ภิกษุหลายร้อยล้วนเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบระงับ มั่นคง แวดล้อมเราอยู่ทุกเมื่อ
ชนทั้งหลายผู้ชอบใจทางพระอริยเจ้า ยินดีในธรรมทุกเมื่อ มีปัญญารุ่งเรือง ถึงจะยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ก็จักตรัสรู้ได้
เราประกาศธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง
ภิกษุ ๒ รูป ชื่ออุปติสสะและโกลิตะ เป็นอัครสาวกของเรา
ภิกษุชื่ออานนทะ เป็นอุปัฏฐากอยู่ในสำนักของเรา
ภิกษุณีชื่อ เขมาและอุบลวรรณา เป็นอัครสาวิกา
จิตตคฤหบดีและหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี เป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมาดาและอุตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
เราบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดมที่ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์
เรามีรัศมีซ่านออกด้านละวา สูงขึ้นไป ๑๖ ศอก ทุกเมื่อ
บัดนี้ อายุของเราน้อย มี ๑๐๐ ปี ถึงเราจะดำรงอยู่เพียงนั้น ก็ช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย
เราตั้งคบเพลิงคือ ธรรม ไว้สำหรับให้คนภายหลังได้ตรัสรู้
อีกไม่นานเลย แม้เรากับสงฆ์สาวกก็จักนิพพาน ณ ที่นี้ เพราะสิ้นอาหาร เหมือนไฟสิ้นเชื้อ ฉะนั้น
เรามีร่างกายเป็นเครื่องทรงคุณ คือ เดชอันไม่มีเทียบเคียง ยศ กำลัง และฤทธิ์เหล่านี้ วิจิตรด้วยลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ มีรัศมี ๖ ประการ สว่างไสวไปทั่วทิศน้อยใหญ่ดุจพระอาทิตย์
ทุกอย่างจักหายไปหมดสิ้น สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ ฉะนี้แล
อ้างอิง : เรียบเรียงจาก โคตมพุทธวงศ์ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ ข้อที่ ๒๖ หน้า ๓๖๔-๓๖๖