ธรรมอันน่าอัศจรรย์



พระอานนท์ได้สดับ รับมาเฉพาะพระพักต์พระผู้มีพระภาค ธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า

๑.  พระโพธิสัตว์มีสติ สัมปชัญญะ ได้เข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต

๒. พระโพธิสัตว์ได้สถิตอยู่ในหมู่เทวดาชั้นดุสิต

๓.  พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ จุติจากหมู่เทวดาชั้นดุสิตแล้วลงสู่พระครรภ์พระมารดา

๔.  ในกาลใด พระโพธิสัตว์จุติจากหมู่เทวดาชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์พระมารดา ในกาลนั้น แสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ย่อมปรากฏในโลก พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและ มนุษย์

แม้ในโลกันตริกนรก ซึ่งไม่ใช่ที่เปิดเผย มีแต่ความมืดมิด ซึ่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ มีอิทธานุภาพมากอย่างนี้ ส่องแสงไปไม่ถึง ก็ยังปรากฏแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดาด้วยแสงสว่างนั้น แม้หมู่สัตว์ผู้อุบัติในนรกนั้นก็รู้กันว่า แม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีเกิดในที่นี้

อนึ่ง หมื่นโลกธาตุนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้าน หวั่นไหว และแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ย่อมปรากฏในโลก



๕. ในกาลใด พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว ในกาลนั้น เทวบุตรทั้ง ๔ จะใกล้ชิดพระโพธิสัตว์ ถวายอารักขาใน ๔ ทิศ ด้วยคิดว่า มนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือใคร ๆ อย่าได้เบียดเบียนพระโพธิสัตว์ หรือพระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย

๖. ในกาลใด พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์จะเป็นผู้มีศีลโดยปรกติ คือ เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทาน เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากมุสาวาท เว้นขาดจากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เพราะดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย

๗. ในกาลใด พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์มิได้มีพระหฤทัยใฝ่ฝันกามคุณในบุรุษเกิดขึ้น และจะเป็นผู้ไม่ถูกบุรุษไร ๆ ที่มีจิตกำหนัดแล้วล่วงเกินได้

๘. ในกาลใด พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ได้เบญจกามคุณ คือ พระนางจะเพรียบพร้อม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรออยู่

๙. ในกาลใด พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์ไม่มีพระโรคาพาธไร ๆ เกิดขึ้น จะมีความสุข ไม่ลำบากพระกาย และจะทรงเห็นพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ภายในพระอุทร มีพระอวัยวะน้อยใหญ่ครบ มีอินทรีย์ไม่เสื่อมโทรมได้

เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์งามโชติช่วงแปดเหลี่ยมอันเขาเจียระไนดีแล้ว ในแก้วนั้น เขาร้อยด้ายสีเขียว หรือสีเหลืองอ่อน สีแดง สีขาว สีเหลืองแก่ เข้าไว้ บุรุษผู้มีตาดี วางแก้วนั้นในมือ พึงเห็นชัดได้ว่า แก้วไพฑูรย์นี้งามโชติช่วง แปดเหลี่ยม ในแก้วนั้น เขาร้อยด้ายสีเขียว หรือสีเหลืองอ่อน สีแดง สีขาว สีเหลืองแก่ เข้าไว้ ฉันใด

ฉันนั้นเหมือนกันแล ในกาลใด พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ไม่มีพระโรคาพาธไร ๆ เกิดขึ้น จะมีความสุข ไม่ ลำบากพระกาย และจะทรงเห็นพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ภายในพระอุทร มีพระอวัยวะน้อยใหญ่ครบ มีอินทรีย์ไม่เสื่อมโทรมได้



๑๐. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติแล้วได้ ๗ วัน พระมารดาของพระโพธิสัตว์จะเสด็จสวรรคต จะเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต

๑๑. พระมารดาของพระโพธิสัตว์จะประสูติพระโพธิสัตว์ไม่เหมือนอย่างหญิงอื่น ๆ ที่ครองครรภ์ด้วยท้อง ๙ เดือน หรือ ๑๐ เดือนแล้วจึงคลอด คือ พระนางจะทรงครองพระโพธิสัตว์ด้วยพระอุทร ๑๐ เดือน ถ้วนแล้วจึงประสูติ

๑๒. พระมารดาของพระโพธิสัตว์จะประสูติพระโพธิสัตว์ไม่เหมือนอย่างหญิงอื่น ๆ ที่นั่งหรือนอนคลอด คือ พระนางจะประทับยืนท่าเดียว แล้วประสูติพระโพธิสัตว์

๑๓. ในกาลใด พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น พวกเทวดาจะรับก่อน พวกมนุษย์จะรับทีหลัง

๑๔. ในกาลใด พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ยังไม่ทันถึงแผ่นดิน เทวบุตรทั้ง ๔ ก็รับ แล้ววางลงตรงพระพักตร์พระมารดาให้ทรงหมายรู้ว่า ขอพระเทวีจงมีพระทัยยินดีเถิด พระโอรสของพระองค์ผู้มีศักดิ์มากเสด็จอุปบัติแล้ว

๑๕. ในกาลใด พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น พระองค์ย่อมประสูติอย่างบริสุทธิ์แท้ คือ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำ ด้วยเสมหะ ด้วยเลือด ด้วยน้ำเหลือง ด้วยของไม่สะอาดไร ๆ นับว่าหมดจดบริสุทธิ์

เปรียบเหมือนแก้วมณีที่เขาวางลงบนผ้ากาสิกพัสตร์ แก้วมณีย่อมไม่เปื้อนผ้ากาสิกพัสตร์ แม้ผ้ากาสิกพัสตร์ก็ไม่เปื้อนแก้วมณี นั่นเพราะเหตุไร เพราะของทั้งสองอย่างบริสุทธิ์ ฉันใด

ฉันนั้นเหมือนกันแล ในกาลใด พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น พระองค์ย่อมประสูติอย่างบริสุทธิ์แท้ คือ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำ ด้วยเสมหะ ด้วยเลือด ด้วยน้ำเหลือง ด้วยของไม่สะอาดไร ๆ นับว่าหมดจดบริสุทธิ์

๑๖. ในกาลใด พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น ธารน้ำ ๒ สายย่อมปรากฏจากอากาศ สายหนึ่งเป็นธารน้ำเย็น สายหนึ่งเป็นธารน้ำอุ่น เป็นเครื่องทำการสนานพระโพธิสัตว์และพระมารดา



๑๗. ในบัดดลที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ก็ประทับพระยุคลบาทอันเสมอบนแผ่นดิน แล้วบ่ายพระพักตร์สู่ทิศอุดร เสด็จดำเนินไปด้วยย่างพระบาท ๗ ก้าว เมื่อเทพบุตรกั้นเศวตฉัตรตามไป พระองค์จะทรงเหลียวดูทิศทั้งปวง และทรงเปล่งพระวาจาอย่างผู้องอาจว่า

เราเป็นผู้เลิศในโลก
เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก
ชาตินี้เป็นชาติที่สุด
บัดนี้ ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี

๑๘. ในกาลใด พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น แสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ย่อมปรากฏในโลก พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์

แม้ในโลกันตริกนรก ซึ่งไม่ใช่ที่เปิดเผย มีแต่ความมืดมิด ซึ่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ มีอิทธานุภาพมากอย่างนี้ ส่องแสงไปไม่ถึง ก็ยังปรากฏแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ด้วยแสงสว่างนั้น แม้หมู่สัตว์ผู้อุปบัติในนรกนั้น ก็รู้กันว่า แม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีเกิดในที่นี้

อนึ่ง หมื่นโลกธาตุนี้ย่อมสะเทื้อน สะท้าน หวั่นไหว และแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ ย่อมปรากฏในโลก



๑๙.  เวทนาของพระผู้มีพระภาค ปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป

สัญญาของพระผู้มีพระภาค ปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป

วิตกของพระผู้มีพระภาค ปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป

 

 

อ้างอิง : ​อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๓๕๗-๓๗๙ หน้า ๑๙๔-๒๐๐