ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิ่งใดอันกุลบุตรผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียร มีความเพียรมั่น จะพึงถึงด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ ด้วยความเอาธุระของบุรุษ สิ่งนั้นอันพระผู้มีพระภาคได้บรรลุเต็มที่แล้ว
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคไม่ทรงประกอบความพัวพันด้วยความสุขในกาม เป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ทรงประกอบการทำตนให้ลำบาก เป็นทุกข์
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงได้ฌาน ๔ อันล่วงกามาวจรจิตให้อยู่สบายในปัจจุบันได้ตามประสงค์ได้ไม่ยากไม่ลำบาก
ถ้าเขาถามข้าพระองค์อย่างนี้ว่า...
ดูกรท่านสารีบุตร สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่ได้มีใน อดีต ท่านที่มีความรู้ เยี่ยมยิ่งกว่า พระผู้มีพระภาคในสัมโพธิญาณมีไหม
เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่า ...ไม่มี
ถ้าเขาถามว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่จักมีใน อนาคต ท่านที่มีความรู้ เยี่ยมยิ่งกว่า พระผู้มีพระภาคในสัมโพธิญาณจักมีไหม
เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่า ...ไม่มี
ถ้าเขาถามว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่มีอยู่ใน ปัจจุบัน ท่านที่มีความรู้ เสมอเท่ากับ พระผู้มีพระภาคในสัมโพธิญาณมีอยู่ไหม
เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่า ...ไม่มี
ถ้าเขาถามว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่ได้มีใน อดีต ท่านที่มีความรู้ เสมอเท่ากับ พระผู้มีพระภาคในสัมโพธิญาณมีไหม
เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่า ...มีอยู่
ถ้าเขาถามว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่จักมีใน อนาคต ท่านที่มีความรู้ เสมอเท่ากับ พระผู้มีพระภาค ในสัมโพธิญาณจักมีไหม
เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่า ...มีอยู่
ถ้าเขาถามว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่มีอยู่ใน ปัจจุบัน ท่านที่มีความรู้ เสมอเท่ากับ พระผู้มีพระภาคในสัมโพธิญาณมีไหม
เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่า ...ไม่มี
ก็ถ้าเขาถามข้าพระองค์ว่า เหตุไรท่านจึงตอบรับเป็นบางอย่าง ปฏิเสธเป็นบางอย่าง เมื่อเขาถามอย่างนี้
ข้าพระองค์พึงตอบเขาว่า นี่แน่ท่าน ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับเรียนมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ในอดีต เป็นผู้มีความรู้ เสมอ เท่ากับเราในสัมโพธิญาณ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ในอนาคต เป็นผู้มีความรู้ เสมอ เท่ากับเราในสัมโพธิญาณ
ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์จะเกิดพร้อมกันในโลกธาตุเดียวกันนั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส นั่นเป็นฐานะที่จะมีไม่ได้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ถูกเขาถามอย่างนี้ ตอบอย่างนี้จะนับว่าเป็นผู้กล่าวตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้วแล ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำไม่จริงแลหรือ ชื่อว่าแก้ไปตามธรรมสมควรแก่ธรรมแลหรือ ทั้งการโต้ตอบอันมีเหตุอย่างไร ๆ มิได้มาถึงสถานะอันควรติเตียนแลหรือ”
"ถูกแล้วสารีบุตร เมื่อเธอถูกเขาถามอย่างนี้ แก้อย่างนี้นับว่าเป็นผู้กล่าว ตามพุทธพจน์ที่เรากล่าวแล้วทีเดียว ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง ชื่อว่าแก้ไปตามธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการโต้ตอบอันมีเหตุอย่างไร ๆ ก็มิได้มาถึงสถานะอันควรติเตียน"
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลามีอยู่แก่พระตถาคต ผู้ทรงมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ แต่ไม่ทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกได้เห็นธรรม แม้สักข้อหนึ่งจากธรรมของพระองค์นี้ในตนแล้ว พวกเขาจะต้องยกธงเที่ยวประกาศด้วยเหตุเพียงเท่านั้น”
"ดูกรอุทายี เธอจงดูความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลาของตถาคต ผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ แต่ไม่แสดงตนให้ปรากฏ
เพราะเหตุนั้น ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกได้เห็นธรรมแม้สักข้อหนึ่งจากธรรมของเรานี้ในตนแล้ว พวกเขาจะต้องยกธงเที่ยวประกาศ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น"
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
"เพราะเหตุนั้นแล สารีบุตร เธอพึงกล่าวธรรมปริยายนี้เนือง ๆ แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ...ความสงสัยหรือความเคลือบแคลงในตถาคตซึ่งจักยังมีอยู่บ้างแก่โมฆบุรุษทั้งหลาย พวกเขาจักละเสียได้ ...เพราะได้ฟังธรรมปริยายนี้”
ท่านพระสารีบุตร ได้ประกาศความเลื่อมใสของตนนี้ เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้
เพราะฉะนั้น...คำไวยากรณ์นี้ จึงมีชื่อว่า"สัมปสาทนียะ" ดังนี้แล
อ้างอิง : สัมปสาทนียสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม ๑๑ ข้อที่ ๙๑-๙๓ หน้า ๘๘-๙๐