อินทริยภาวนาสูตร - การเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถามดังนี้ว่า

“ดูกรอุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า”

อุตตรมาณพกราบทูลว่า

“แสดง พระโคดมผู้เจริญ”

ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด”

การเจริญอินทรีย์ของปาราสิริยพราหมณ์

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า

...อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ
...อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต”

“ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์... ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก

เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต"

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า อุตตรมาณพนั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ จึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า

ดูกรอานนท์ ปาราสิริยพราหมณ์ย่อมแสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง ส่วนการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง”

ท่านพระอานนท์ทูลว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต เป็นการสมควรแล้วที่พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ ภิกษุทั้งหลายฟังจากพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้”

ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป”

ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า

“ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”


การเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ

ดูกรอานนท์ ก็การเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะเป็นอย่างไร

ภิกษุในธรรมวินัยนี้เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ

เธอ รู้ชัด อย่างนี้ว่า

เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้

ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะหยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา

เธอจึง ดับ ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจอันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย

อุเบกขาจึงดำรงมั่น  

ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจอันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้

...ได้เร็วพลัน ทันที โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างบุรุษมีตาดี กระพริบตา ฉะนั้น อุเบกขาย่อมดำรงมั่น   

นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ

ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก

ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต

เธอ รู้ชัด อย่างนี้ว่า

เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้

ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะหยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา

เธอจึง ดับ ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย

อุเบกขาจึงดำรงมั่น

ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้

...ได้เร็วพลัน ทันที โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างบุรุษมีกำลัง ดีดนิ้วมือโดยไม่ลำบาก ฉะนั้น

นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ

ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก

ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจเพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ

 เธอ รู้ชัด อย่างนี้ว่า

เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้ ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะหยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา

เธอจึง ดับ ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย

อุเบกขาจึงดำรงมั่น

ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจอันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้

…ได้เร็วพลันทันที โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างหยาดน้ำกลิ้งไปบนใบบัว ย่อมไม่ติดในที่ที่กลิ้งไปสักน้อยหนึ่ง ฉะนั้น

นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ

ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก

ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา

 เธอ รู้ชัด อย่างนี้ว่า

เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้ ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะหยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา

เธอจึง ดับ ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย

อุเบกขาจึงดำรงมั่น

ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจอันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้

…ได้เร็วพลันทันที โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างบุรุษมีกำลังตะล่อมก้อนเขฬะไว้ตรงปลายลิ้น แล้วถ่มไปโดยไม่ลำบาก ฉะนั้น  

นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ

ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก

ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย

เธอ รู้ชัด อย่างนี้ว่า…

เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้ ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะหยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา

เธอจึง ดับ ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย

อุเบกขาจึงดำรงมั่น

ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจอันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้

...ได้โดยเร็วพลัน ทันที โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้... หรือคู้แขนที่เหยียดโดยไม่ลำบากฉะนั้น

นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ

ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก

ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน

เธอ รู้ชัด อย่างนี้ว่า

เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้ ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะหยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา

เธอจึง ดับ ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย

อุเบกขาจึงดำรงมั่น

ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจอันเกิดขึ้นแล้ว

…ได้เร็วพลัน ทันที โดยไม่ลำบากอย่างนี้ เหมือนบุรุษมีกำลัง หยดหยาดน้ำสองหรือสามหยาดลงในกระทะเหล็กที่ร้อนจัดตลอดวัน ความหยดลงแห่งหยาดน้ำยังช้า ทันทีนั้น หยาดน้ำนั้นจะถึงความสิ้นไป แห้งไปเร็วทีเดียว ฉะนั้น  

นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ

ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล เป็นการเจริญอินทรีย์อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ


การเจริญอินทรีย์ของพระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่

ดูกรอานนท์ ก็พระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่เป็นอย่างไร

ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
…เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ
…เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต
…เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ
…เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา
…เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย
…เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน

เธอย่อมอึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจอันเกิดขึ้นแล้วนั้น

ดูกรอานนท์ อย่างนี้แลชื่อว่า พระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่


การเจริญอินทรีย์ของพระอเสขะผู้เจริญอินทรีย์แล้ว

ดูกรอานนท์ ก็พระอริยะผู้เจริญอินทรีย์แล้วเป็นอย่างไร

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ…
เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต…
เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ…
เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา…
เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย…
เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน…

เธอถ้าหวังว่า
จะมีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่า
...เป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ 

ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งนั้น ๆ ว่า
เป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้

ถ้าหวังว่า
จะมีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่า
...เป็นของปฏิกูลอยู่ 

ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งนั้น ๆ ว่า
เป็นของปฏิกูลอยู่ได้

ถ้าหวังว่า
จะมีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่า
...เป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ 

ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งนั้น ๆ ว่า
เป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้

ถ้าหวังว่า
จะมีความสำคัญในสิ่งทั้งไม่ปฏิกูลและปฏิกูลว่า
...เป็นของปฏิกูลอยู่ 
ก็ย่อมมีความสำคัญในสิ่งนั้นๆว่า
เป็นของปฏิกูลอยู่ได้

ถ้าหวังว่า จะวางเฉย
เว้นเสียซึ่งสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น
อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ

ก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งนั้น ๆ
อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะได้

ดูกรอานนท์ อย่างนี้แลชื่อว่า พระอริยะผู้เจริญอินทรีย์แล้ว

ดูกรอานนท์ เราแสดงการเจริญอินทรีย์อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ แสดงพระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่ แสดงพระอริยะผู้เจริญอินทรีย์แล้ว ด้วยประการฉะนี้แล

ดูกรอานนท์ กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์ อาศัยความอนุเคราะห์พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ


ดูกรอานนท์ นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลาย จงเพ่งฌาน อย่าได้ประมาท อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล

 

 

อ้างอิง : อินทริยภาวนาสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๘๕๓-๘๖๕ หน้า ๔๐๘-๔๑๒