สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทสร้างด้วยอิฐ ใกล้บ้านนาทิกคาม ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณัสสติอันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
ก็มรณัสสติอันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
การเจริญมรณัสสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวันผ่านไป กลางคืนย่างเข้ามา ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
เหตุแห่งความตายของเรามีมากหนอ คือ
งูพึงกัดเรา แมงป่องพึงต่อยเรา
หรือตะขาบพึงกัดเรา…
เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา
เราพึงพลาดล้มลง
อาหารที่เราฉันแล้วไม่พึงย่อย
ดีของเราพึงกำเริบ
เสมหะของเราพึงกำเริบ
หรือลมที่มีพิษเพียงดังศัสตราของเราพึงกำเริบ…
เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา
ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า...
ธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา ผู้กระทำกาละในกลางคืน มีอยู่หรือหนอ
ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ ย่อมทราบอย่างนี้ว่า
ธรรมอันเป็นบาปอกุศล ที่เรายังละไม่ได้
อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา
ผู้กระทำกาละในกลางวัน …ยังมีอยู่
ภิกษุนั้นพึงทำฉันทะ ความพยายาม
ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย
สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง
…เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้น
เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าโพกศีรษะถูกไฟไหม้
หรือมีศีรษะถูกไฟไหม้
พึงทำฉันทะ ความพยายาม
ความอุตสาหะ ความเพียรความไม่ท้อถอย
สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง
…เพื่อดับผ้าโพกศีรษะหรือศีรษะนั้น ฉะนั้น
ก็ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ ย่อมทราบอย่างนี้ว่า
ธรรมอันเป็นบาปอกุศล ที่เรายังละไม่ได้
อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา
ผู้กระทำกาละในกลางวัน ...ไม่มี
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์ ตามศึกษาในกุศลธรรมทั้งหลาย ทั้งกลางวันกลางคืนอยู่เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางคืนผ่านไป กลางวันย่างเข้ามา ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
เหตุแห่งความตายของเรามีมากหนอ คือ
งูพึงกัดเรา แมงป่องพึงต่อยเรา
หรือตะขาบพึงกัดเรา…
เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา
เราพึงพลาดล้มลง
อาหารที่เราฉันแล้วไม่พึงย่อย
ดีของเราพึงกำเริบ
เสมหะของเราพึงกำเริบ
หรือลมที่มีพิษเพียงศาตราของเราพึงกำเริบ…
เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา
ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า...
ธรรมอันเป็นบาปอกุศล ที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา ผู้กระทำกาละในกลางวัน มีอยู่หรือหนอ
ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ ย่อมทราบอย่างนี้ว่า
ธรรมอันเป็นบาปอกุศล ที่เรายังละไม่ได้
อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา
ผู้กระทำกาละในกลางวัน …ยังมีอยู่
ภิกษุนั้นพึงทำฉันทะ ความพยายาม
ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย
สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง
…เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้น
เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าโพกศีรษะถูกไฟไหม้
หรือมีศีรษะถูกไฟไหม้
พึงทำฉันทะ ความพยายาม
ความอุตสาหะ ความเพียรความไม่ท้อถอย
สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง
…เพื่อดับผ้าโพกศีรษะหรือศีรษะนั้น ฉะนั้น
ก็ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ ย่อมทราบอย่างนี้ว่า
ธรรมอันเป็นบาปอกุศล ที่เรายังละไม่ได้
อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา
ผู้กระทำกาละในกลางวัน ...ไม่มี
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์ ตามศึกษาในกุศลธรรมทั้งหลาย ทั้งกลางวันกลางคืนอยู่เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มรณัสสติอันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
อ้างอิง : มรณัสสติสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๒๙๑ หน้า ๒๘๑-๒๘๓