มหาราหุโลวาทสูตร - ทรงประทานโอวาทแก่พระราหุล



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังนครสาวัตถี ในเวลาเช้า

แม้ท่านพระราหุลก็ครองอันตรวาสก แล้วถือบาตรและจีวร ตามพระผู้มีพระภาคไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงผินพระพักตร์ไปรับสั่งกะท่านพระราหุลว่า

“ดูกรราหุล รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอดีต เป็นอนาคต และเป็นปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี รูปทั้งปวงนี้ เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา”

ท่านพระราหุล ทูลถามว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค รูปเท่านั้นหรือ ข้าแต่พระสุคต รูปเท่านั้นหรือ?”

“ดูกรราหุล ทั้งรูป ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทั้งวิญญาณ”

ครั้งนั้น ท่านพระราหุลคิดว่า

“วันนี้ ใครหนอ อันพระผู้มีพระภาคทรงโอวาทด้วยโอวาทในที่เฉพาะพระพักตร์แล้ว จักเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตเล่า”

ดังนี้แล้ว กลับจากที่นั้น นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง

ท่านพระสารีบุตรได้เห็นท่านพระราหุลผู้นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง แล้วบอกกะท่านพระราหุลว่า

“ดูกรราหุล ท่านจงเจริญอานาปานสติเถิด ด้วยว่าอานาปานสติภาวนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก”


ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระราหุลออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงจะมีผล มีอานิสงส์”

ธาตุ ๕

ปฐวีธาตุ

“ดูกรราหุล รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นภายใน อาศัยตน เป็นของหยาบ มีลักษณะแข้นแข็ง อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่นเป็นภายใน อาศัยตน เป็นของหยาบ มีลักษณะแข้นแข็ง อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น

นี้ เราเรียกว่า ปฐวีธาตุเป็นภายใน

ก็ปฐวีธาตุเป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดีอันใด ปฐวีธาตุนั้น เป็นปฐวีธาตุเหมือนกัน

ปฐวีธาตุนั้น เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้

เพราะบุคคล เห็นปฐวีธาตุนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในปฐวีธาตุ… จิตย่อมคลายกำหนัดในปฐวีธาตุ


อาโปธาตุ

ดูกรราหุล ก็อาโปธาตุ เป็นไฉน

อาโปธาตุเป็นภายในก็มี เป็นภายนอกก็มี

ก็อาโปธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน

สิ่งใดเป็นภายใน อาศัยตน เป็นอาโป มีลักษณะเอิบอาบ อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่น เป็นภายใน อาศัยตน เป็นอาโป มีลักษณะเอิบอาบ อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น

นี้ เราเรียกว่า อาโปธาตุเป็นภายใน

ก็อาโปธาตุเป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดีอันใด อาโปธาตุนั้น เป็นอาโปธาตุเหมือนกัน

อาโปธาตุนั้น เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้

เพราะบุคคลเห็นอาโปธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในอาโปธาตุ… จิตย่อมคลายกำหนัดในอาโปธาตุ


เตโชธาตุ

ดูกรราหุล ก็เตโชธาตุเป็นไฉน เตโชธาตุเป็นภายในก็มี เป็นภายนอกก็มี

ก็เตโชธาตุที่เป็นภายในเป็นไฉน

สิ่งใดเป็นภายใน อาศัยตน เป็นเตโช มีลักษณะร้อน อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น คือ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย และไฟที่เผาอาหารที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้ม ให้ย่อยไปโดยชอบ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่น เป็นภายในอาศัยตน เป็นเตโช มีลักษณะร้อน อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น

นี้ เราเรียกว่า เตโชธาตุเป็นภายใน

ก็เตโชธาตุเป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดีอันใด เตโชธาตุนั้น เป็นเตโชธาตุเหมือนกัน

เตโชธาตุนั้น เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้

เพราะบุคคลเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในเตโชธาตุ… จิตย่อมคลายกำหนัดในเตโชธาตุ

วาโยธาตุ

ดูกรราหุล วาโยธาตุเป็นไฉน

วาโยธาตุเป็นภายในก็มี เป็นภายนอกก็มี

ก็วาโยธาตุเป็นภายในเป็นไฉน

สิ่งใดเป็นภายใน อาศัยตน เป็นวาโย มีลักษณะพัดไปมา อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมหายใจ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่น เป็นภายใน อาศัยตนเป็นวาโย พัดไปมา อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น

นี้ เราเรียกว่า วาโยธาตุเป็นภายใน

ก็วาโยธาตุเป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี อันใด วาโยธาตุนั้น เป็นวาโยธาตุเหมือนกัน

วาโยธาตุนั้น เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้

เพราะบุคคลเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในวาโยธาตุ… จิตย่อมคลายกำหนัดในวาโยธาตุ

อากาสธาตุ

ดูกรราหุล ก็อากาสธาตุเป็นไฉน

อากาสธาตุเป็นภายในก็มี เป็นภายนอกก็มี

อากาสธาตุที่เป็นภายในเป็นไฉน

สิ่งใดเป็นภายใน อาศัยตนเป็นอากาศ มีลักษณะว่าง อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น คือ ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องคอสำหรับกลืนอาหารที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้ม และช่องสำหรับถ่ายอาหารที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้ม ออกเบื้องล่าง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่นเป็นภายใน อาศัยตน เป็นอากาศ มีลักษณะว่าง ไม่ทึบ มีลักษณะไม่ทึบเป็นช่อง มีลักษณะเป็นช่อง อันเนื้อและเลือดไม่ถูกต้อง เป็นภายใน อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น

นี้ เราเรียกว่า อากาสธาตุเป็นภายใน

ก็อากาสธาตุเป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดีอันใด อากาสธาตุนั้น เป็นอากาศธาตุเหมือนกัน

อากาสธาตุนั้น เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้

เพราะบุคคลเห็นอากาสธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในอากาสธาตุ… จิตย่อมคลายกำหนัดในอากาสธาตุ


ภาวนาเสมอด้วยธาตุ ๕

ภาวนาเสมอด้วยแผ่นดิน

ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

ดูกรราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดหรือระอา หรือ เกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

ภาวนาเสมอด้วยน้ำ

ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

ดูกรราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายล้างของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงในน้ำ น้ำจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

เจริญภาวนาเสมอด้วยไฟ

ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้  

ดูกรราหุล เปรียบเหมือนไฟที่เผาของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ไฟจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

เจริญภาวนาเสมอด้วยลม

ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยลมเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตของเธอได้

ดูกรราหุล เปรียบเหมือนลมย่อมพัดต้องของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลมจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยลม ฉันนั้น เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

เจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศ

ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้  

ดูกรราหุล เปรียบเหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้


การเจริญภาวนาธรรม ๖ อย่าง

ดูกรราหุล
เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด
เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่
จักละพยาบาทได้

เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด
เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่
จักละวิหิงสาได้

เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด
เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่
จักละอรติได้

เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด
เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่
จักละปฏิฆะได้

เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด
เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่
จักละราคะได้

เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเถิด
เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่
จักละอัสมิมานะได้


การเจริญอานาปานสติภาวนา

ดูกรราหุล เธอจงเจริญอานาปานสติภาวนาเถิด เพราะอานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผล มีอานิสงส์ใหญ่

ก็อานาปานสติอันบุคคลเจริญอย่างไร ทำให้มากอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่

ดูกรราหุล ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า…

เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า

เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว

เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น

ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารห ายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติ หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า...
   จักกำหนดรู้จิตสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า...
   จักกำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า...
   จักระงับจิตสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า...
   จักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิต หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิต หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริง หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่น หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่น หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า จักเปลื้องจิต หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักเปลื้องจิต หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักพิจารณาธรรมอันปราศจากราคะ หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักพิจารณาธรรมอันปราศจากราคะ หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักพิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักพิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักพิจารณาธรรมเป็นที่สละคืน หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า…
   จักพิจารณาธรรมเป็นที่สละคืน หายใจเข้า

ดูกรราหุล อานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่

ดูกรราหุล เมื่ออานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้

ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ อันมีในภายหลัง อันบุคคลผู้เจริญอานาปานสติทราบชัดแล้ว …ย่อมดับไป

หาเป็นอันบุคคลผู้เจริญอานาปานสติไม่ทราบชัดแล้ว …ดับไปไม่ได้ ดังนี้

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระราหุลมีใจยินดี ชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล

 

 

อ้างอิง : พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๓ ข้อที่ ๑๓๓-๑๔๖ หน้า ๑๑๑-๑๑๖