มหานามสูตร - อนุสติของพระอริยสาวก



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธารามใกล้กรุงกบิลพัสดุ์แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะ พระนามว่ามหานามะได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมชนิดไหนเป็นส่วนมาก พระพุทธเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

“ดูกรมหานามะ อริยสาวก ผู้ได้บรรลุผลทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก คือ

พุทธานุสสติ

อริยสาวกในพระศาสนานี้

ย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนือง ๆ ว่า
แม้เพราะเหตุนี้ ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม

ดูกรมหานามะ

สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนือง ๆ

สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม
ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม
ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว

ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง
เพราะปรารภพระตถาคต  
ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ
ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม
ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุข
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น  

ดูกรมหานามะ นี้ตถาคตกล่าวว่า

อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย
เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท

เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญพุทธานุสสติ


ธรรมานุสสติ

ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง

อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรมเนือง ๆ ว่า
พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว
อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
ควรเรียกให้ดู
ควรน้อมเข้ามา
อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรมเนือง ๆ

สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม 
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว  

ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง
เพราะปรารภพระธรรม
ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ
ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม
ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุข
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น  

ดูกรมหานามะ นี้ตถาคตกล่าวว่า

อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย
เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท

เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญธรรมานุสสติ


สังฆานุสสติ

ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง

อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์เนือง ๆ ว่า
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อญายธรรม
เป็นผู้ปฏิบัติชอบ

นี้คือ คู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘
นั่นคือ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
เป็นผู้ควรของคำนับ
ควรของต้อนรับ
ควรของทำบุญ
ควรกระทำอัญชลี
เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า 

สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์เนือง ๆ

สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม  
ย่อมไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว

ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง
เพราะปรารภพระสงฆ์
ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ
ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม
ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุข
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น  

ดูกรมหานามะ นี้ตถาคตกล่าวว่า

อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่ 
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย
เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท

เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญสังฆานุสสติ


สีลานุสสติ

ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง

อริยสาวก
ย่อมระลึกถึงศีลของตนเนือง ๆ
ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย
อันวิญญูชนสรรเสริญ
อันตัณหาทิฐิไม่ยึดถือ
เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีลของตนเนือง ๆ  

สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม  
ย่อมไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม 
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว  

ก็อริยสาวก ผู้มีจิตดำเนินไปตรง
เพราะปรารภศีล 
ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ
ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม
ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุข
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น  

ดูกรมหานามะ นี้ตถาคตกล่าวว่า

อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย
เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท

เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญสีลานุสสติ


จาคานุสสติ

ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง

อริยสาวก
ย่อมระลึกถึงการบริจาคของตนเนือง ๆ ว่า
เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ คือ
เมื่อหมู่สัตว์ถูกมลทิน คือความตระหนี่กลุ้มรุม

เรามีใจปราศจากมลทิน คือ
ความตระหนี่อยู่ครองเรือน 
เป็นผู้มีจาคะอันปล่อยแล้ว
มีฝ่ามืออันชุ่ม (คอยหยิบของบริจาค)
ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ
ยินดีในการจำแนกทาน

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงการบริจาคเนือง ๆ

สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม 
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว

ก็อริยสาวก ผู้มีจิตดำเนินไปตรง
เพราะปรารภจาคะ
ย่อมได้ความซาบซึ้งอรรถ
ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม
ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุข
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น  

ดูกรมหานามะ นี้ตถาคตกล่าวว่า

อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย
เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท

เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญจาคานุสสติ


เทวตานุสสติ

ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง

อริยสาวกย่อมเจริญเทวตานุสสติ
(ความระลึกถึงเทวดาเนือง ๆ ) ว่า

เทวดาเหล่าจาตุมหาราชมีอยู่
เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่
เทวดาเหล่ายามามีอยู่ 
เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่
เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่ 
เทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัสดีมีอยู่
เทวดาเหล่าพรหมกายิกามีอยู่
เทวดาที่สูงกว่าเหล่าพรหมนั้นมีอยู่

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วย ศรัทธา เช่นใด
จุติจากโลกนี้แล้วอุบัติในเทวดาชั้นนั้น
ศรัทธาเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วย ศีล เช่นใด
จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น
ศีลเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่ 

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วย สุตะ เช่นใด
จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น
สุตะเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วย จาคะ เช่นใด
จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น
จาคะเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วย ปัญญา เช่นใด
จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น
ปัญญาเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตนและของเทวดาเหล่านั้นเนือง ๆ

สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม 
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว

ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง
เพราะปรารภเทวดา
ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ
ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม
ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
เมื่อได้ความปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุข
เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น

ดูกรมหานามะ นี้อาตมภาพกล่าวว่า

อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย
เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท

เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม ย่อมเจริญเทวตานุสสติ


ดูกรมหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก

 

 

อ้างอิง :  มหานามสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๒๘๑ หน้า ๒๖๓-๒๖๕