มหานิทานสูตร - สิ่งที่เป็นต้นเหตุใหญ่



สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ นามว่า กัมมาสทัมมะ

ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว

ได้กราบทูลความข้อนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า


“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุปบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก

ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนเป็นของตื้นนัก”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

“เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก


ดูกรอานนท์ เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอดซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้จึงเกิด เป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร

ดูกรอานนท์

เมื่อเธอถูกถามว่า ชรา มรณะ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า ชรา มรณะ มีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ชาติมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า ชาติมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีภพเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ภพมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า ภพมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีอุปาทานเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า อุปาทานมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีตัณหาเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ตัณหามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า ตัณหามีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีเวทนาเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า เวทนามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีผัสสะเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ผัสสะมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า นามรูปมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า นามรูปมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีวิญญาณเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า วิญญาณมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่าวิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย

ดูกรอานนท์

เพราะ นามรูป เป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ  
เพราะ วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป
เพราะ นามรูป เป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ
เพราะ ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา
เพราะ เวทนา เป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา
เพราะ ตัณหา เป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน
เพราะ อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงเกิดภพ
เพราะ ภพ เป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ
เพราะ ชาติ เป็นปัจจัย จึงเกิดชรา มรณะ โสก ปริเทว ทุกขโทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้

ก็คำนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เรากล่าวไว้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดชรามรณะ

ก็ถ้า ชาติมิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ

มิได้มีเพื่อความเป็นเทพ แห่งพวกเทพ
เพื่อความเป็นคนธรรพ์ แห่งพวกคนธรรพ์
เพื่อความเป็นยักษ์ แห่งพวกยักษ์
เพื่อความเป็นภูต แห่งพวกภูต
เพื่อความเป็นมนุษย์ แห่งพวกมนุษย์
เพื่อความเป็นสัตว์สี่เท้า แห่งพวกสัตว์สี่เท้า
เพื่อความเป็นปักษี แห่งพวกปักษี
เพื่อความเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แห่งพวกสัตว์เลื้อยคลาน

ก็ถ้าชาติมิได้มี เพื่อความเป็นอย่างนั้น ๆ แห่งสัตว์พวกนั้น ๆ


เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติดับไป ชราและมรณะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

“เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แห่งชรา มรณะ ก็คือ ชาติ นั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบข้อความนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เรากล่าวไว้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ

ก็ถ้า ภพมิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ


เมื่อภพไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะภพดับไป ชาติจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชาติ ก็คือภพนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เรากล่าวไว้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ

ก็ถ้า อุปาทานมิได้มี แก่ใคร ๆในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ

กามุปาทาน
ทิฏฐุปาทาน
สีลัพพตุปาทาน
อัตตวาทุปาทาน


เมื่ออุปาทานไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะอุปาทานดับไป ภพจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งภพ ก็คืออุปาทานนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน

ก็ถ้า ตัณหามิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ

รูปตัณหา
สัททตัณหา
คันธตัณหา
รสตัณหา
โผฏฐัพพตัณหา
ธรรมตัณหา


เมื่อตัณหาไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะตัณหาดับไป อุปาทานจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งอุปาทาน ก็คือตัณหานั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เรากล่าวอธิบายไว้ดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา

ก็ถ้า เวทนามิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ

เวทนาที่เกิดเพราะ จักษุสัมผัส
เวทนาที่เกิดเพราะ โสตสัมผัส
เวทนาที่เกิดเพราะ ฆานสัมผัส
เวทนาที่เกิดเพราะ ชิวหาสัมผัส
เวทนาที่เกิดเพราะ กายสัมผัส
เวทนาที่เกิดเพราะ มโนสัมผัส


เมื่อเวทนาไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป ตัณหาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งตัณหา ก็คือเวทนานั่นเอง

ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ

...เพราะอาศัยเวทนา จึงเกิดตัณหา
...เพราะอาศัยตัณหา จึงเกิดการแสวงหา
...เพราะอาศัยการแสวงหา จึงเกิดลาภ
...เพราะอาศัยลาภ จึงเกิดการตกลงใจ
...เพราะอาศัยการตกลงใจ จึงเกิดการรักใคร่พึงใจ
...เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจ จึงเกิดการพะวง
...เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ
...เพราะอาศัยความยึดถือ จึงเกิดความตระหนี่
...เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงเกิดการป้องกัน

เพราะอาศัยการป้องกัน จึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น
อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย ย่อมเกิดขึ้น
(อกุศลธรรม คือ การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ)

คำนี้เรากล่าวไว้ ด้วยประการฉะนี้แล

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวว่า เรื่องในการป้องกัน อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย ย่อมเกิดขึ้น

ก็ถ้า การป้องกันมิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน


เมื่อไม่มีการป้องกันโดยประการทั้งปวง เพราะหมดการป้องกัน อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย... จะพึงเกิดขึ้นได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกเหล่านี้ คือ การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การกล่าวคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ก็คือการป้องกันนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงเกิดการป้องกัน

ก็ถ้า ความตระหนี่มิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน


เมื่อไม่มีความตระหนี่โดยประการทั้งปวง เพราะหมดความตระหนี่ การป้องกันจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

“เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการป้องกัน ก็คือความตระหนี่นั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่

ก็ถ้า ความยึดถือมิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน


เมื่อไม่มีความยึดถือโดยประการทั้งปวง เพราะดับความยึดถือเสียได้ ความตระหนี่จะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

"เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความตระหนี่ ก็คือความยึดถือนั้นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ

ก็ถ้า การพะวงมิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน


เมื่อไม่มีการพะวงโดยประการทั้งปวง เพราะดับการพะวงเสียได้ ความยึดถือจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความยึดถือ ก็คือการพะวงนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจ จึงเกิดการพะวง

ก็ถ้า ความรักใคร่พึงใจมิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน


เมื่อไม่มีความรักใคร่พึงใจโดยประการทั้งปวง เพราะดับความรักใคร่พึงใจเสียได้ การพะวงจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการพะวงก็ คือความรักใคร่พึงใจนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจ จึงเกิดความรักใคร่พึงใจ

ก็ถ้า ความตกลงใจมิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน


เมื่อไม่มีความตกลงใจโดยประการทั้งปวง เพราะดับความตกลงใจเสียได้ ความรักใคร่พึงใจจะพึงปรากฏได้บ้างไหม"

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

"เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยความรักใคร่พึงใจ ก็คือความตกลงใจนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยลาภ จึงเกิดความตกลงใจ

ก็ถ้า ลาภมิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน


เมื่อไม่มีลาภโดยประการทั้งปวง เพราะหมดลาภ ความตกลงใจจะพึงปรากฏได้บ้างไหม"

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

“เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความตกลงใจ ก็คือลาภนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ

ก็ถ้า การแสวงหามิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน


เมื่อไม่มีการแสวงหาโดยประการทั้งปวง เพราะหมดการแสวงหา ลาภจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

“เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของลาภ ก็คือการแสวงหานั่นเอง”

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยตัณหา จึงเกิดการแสวงหา

ก็ถ้า ตัณหามิได้มี แก่ใคร ๆในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ

กามตัณหา
ภวตัณหา
วิภวตัณหา


เมื่อไม่มีตัณหาโดยประการทั้งปวง เพราะดับตัณหาเสียได้ การแสวงหา จะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

“เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของการแสวงหา ก็คือตัณหานั่นเอง

ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง ด้วยประการดังนี้แล

ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา

ก็ถ้า ผัสสะมิได้มี แก่ใคร ๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ

จักษุสัมผัส
โสตสัมผัส
ฆานสัมผัส
ชิวหาสัมผัส
กายสัมผัส
มโนสัมผัส


เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะดับผัสสะเสียได้ เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

“เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ


การบัญญัตินามกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศนั้น ๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อ ในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”


การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้น ๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม”

ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”


“การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้น ๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”


การบัญญัตินามรูป ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้น ๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

"เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะ ก็คือนามรูปนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป


ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”


“ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้ว จักล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”


"ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่ จักขาดความสืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป ก็คือวิญญาณนั่นเอง

ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ


ก็ถ้าวิญญาณจักไม่ได้อาศัยในนามรูปแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งชาติ ชรา มรณะ และกองทุกข์ พึงปรากฏต่อไปได้บ้างไหม”

“ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งวิญญาณ ก็คือนามรูปนั่นเอง

ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้แหละ อานนท์ วิญญาณและนามรูปจึงยังเกิด แก่ ตาย จุติ หรืออุปบัติ

ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ ทางแห่งบัญญัติ ทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญาและวัฏฏสังสาร ย่อมเป็นไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ๆ ความเป็นอย่างนี้ ย่อมมีเพื่อบัญญัติ คือ นามรูปกับวิญญาณ

ดูกรอานนท์

บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา
ย่อมบัญญัติด้วยเหตุประมาณเท่าไร

ก็เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร

เมื่อบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้

เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาวจร

เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้

ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น

ผู้ที่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจรนั้น

…ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือมีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

ผู้มีบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้นั้น

...ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือมีความเห็นว่า เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อันมีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

การลงความเห็นว่า อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

ผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจรนั้น

…ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือมีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

ส่วนผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูป ทั้งหาที่สุดมิได้นั้น

…ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือมีความเห็นว่า เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อันมีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

การลงความเห็นว่า อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดานผู้มีอรูป เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา ย่อมบัญญัติด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล

บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา
ย่อมไม่บัญญัติด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร

ก็เมื่อบุคคลไม่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจร
ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร

เมื่อไม่บัญญัติอัตตามีรูปอันหาที่สุดมิได้
ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้

หรือเมื่อไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจร
ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาจร

เมื่อไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้
ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้

อานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น

ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจรนั้น

…ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้นั้น

…ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

การลงความเห็นว่า อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

ส่วนผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจรนั้น

…ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้นั้น

…ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

การลงความเห็นว่า อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล

บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา
ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร

ก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า

เวทนาเป็นอัตตาของเรา

ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา

หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่า

เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่  เพราะฉะนั้น อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา

อานนท์ บรรดาความเห็น ๓ อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า

เวทนาเป็นอัตตาของเรา

เขาจะพึงถูกซักถามอย่างนี้ว่า

อาวุโส เวทนามี ๓ อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา

บรรดาเวทนา ๓ ประการนี้ …ท่านเล็งเห็นอันไหนโดยความเป็นอัตตา

อานนท์  ในสมัยใด อัตตาเสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา  คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

ในสมัยใด อัตตาเสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

ในสมัยใด อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา คงเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

ดูกรอานนท์ เวทนาแม้ที่เป็นสุขก็ดี แม้ที่เป็นทุกข์ก็ดี แม้ที่เป็นอทุกขมสุขก็ดี …ล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีความสิ้น ความเสื่อม ความคลาย และความดับไปเป็นธรรมดา  

เมื่อเขาเสวยสุขเวทนา
ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา
เมื่อสุขเวทนาอันนั้นดับไป
จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว

เมื่อเสวยทุกขเวทนา
ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา
เมื่อทุกขเวทนาอันนั้นแลดับไป
จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว

เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา
ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา
เมื่ออทุกขมสุขเวทนาอันนั้นแลดับไป
จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว

ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรานั้น …เมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยง เกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เป็นอัตตาในปัจจุบันเท่านั้น

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้

ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า

ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว
อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา

เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า

ในรูปขันธ์ล้วน ๆ ก็ยังมิได้มีความเสวยอารมณ์อยู่ทั้งหมด ในรูปขันธ์นั้นยังจะเกิดอหังการว่าเป็นเราได้หรือ”

“ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้

ส่วนผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า

เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย
อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่
อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่
เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา

เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า

อาวุโส ก็เพราะเวทนาจะต้องดับไปทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือเศษ เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์นั้น ๆ ดับไปแล้ว”

“ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า”

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้

ดูกรอานนท์ คราวใดเล่า

ภิกษุไม่เล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา
ไม่เล็งเห็นอัตตาว่าไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่
ไม่เล็งเห็นว่าอัตตายังต้องเสวยเวทนาอยู่
เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา

ภิกษุนั้น เมื่อเล็งเห็นอยู่อย่างนี้ ...ย่อมไม่ยึดมั่นอะไร ๆ ในโลก และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทกสะท้าน เมื่อไม่สะทกสะท้าน ย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน ทั้งรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

อานนท์ ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า

...ทิฐิว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์ยังมีอยู่
...ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย  สัตว์ไม่มีอยู่
...ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย
...ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้

ดังนี้ กะภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ การกล่าวของบุคคลนั้นไม่สมควร

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

ดูกรอานนท์ ชื่อ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ บัญญัติ ทางแห่งบัญญัติ การแต่งตั้ง ทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา วัฏฏะ ยังเป็นไปอยู่ตราบใด วัฏฏสงสารยังคงหมุนเวียนอยู่ตราบนั้น

…เพราะรู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้น ภิกษุจึงหลุดพ้น

ข้อที่มีทิฐิว่า ใคร ๆ ย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็น ภิกษุผู้หลุดพ้นเพราะรู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้น นั้นไม่สมควร

ดูกรอานนท์ วิญญาณฐิติ ๗ อายตนะ ๒ เหล่านี้

วิญญาณฐิติ ๗ เป็นไฉน คือ

๑. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวก พวกวินิบาตบางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑

๒. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๒

๓. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๓

๔. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔

๕. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕

๖. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๖

๗. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๗

ส่วนอายตนะอีก ๒ คือ

อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ ๑)
และข้อที่ ๒ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ"

การหลุดพ้นด้วยปัญญาวิมุติ

"ดูกรอานนท์ บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง ๗ ประการนั้น

วิญญาณฐิติข้อที่ ๑ มีว่า สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน

ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น
รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น

เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ"

"ไม่ควร พระเจ้าข้า"

วิญญาณฐิติข้อที่ ๒ มีว่า สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน

ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น
รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น

เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ"

"ไม่ควร พระเจ้าข้า"

วิญญาณฐิติข้อที่ ๓ มีว่า สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน

ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น
รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น

เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ"

"ไม่ควร พระเจ้าข้า"

วิญญาณฐิติข้อที่ ๔ มีว่า สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน

ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น
รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น

เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ"

"ไม่ควร พระเจ้าข้า"

วิญญาณฐิติข้อที่ ๕ มีว่า สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ

ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น
รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น

เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ"

"ไม่ควร พระเจ้าข้า"

วิญญาณฐิติข้อที่ ๖ มีว่า สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ

ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น
รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น

เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ"

"ไม่ควร พระเจ้าข้า"

วิญญาณฐิติที่ ๗ มีว่า สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ

ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น
รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น

เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ"

"ไม่ควร พระเจ้าข้า"

"ดูกรอานนท์ ส่วนบรรดาอายตนะทั้ง ๒ นั้นเล่า

ข้อที่ ๑ คือ อสัญญีสัตตายตนะ

ผู้ที่รู้ชัดอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น
รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น

เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินอสัญญีสัตตายตนะนั้นอีกหรือ"

"ไม่ควร พระเจ้าข้า"

ส่วนข้อที่ ๒ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

ผู้ที่รู้ชัดเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น
รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ ข้อนั้น

เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้นอีกหรือ"

"ไม่ควร พระเจ้าข้า"

 


"ดูเพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับ ทั้งคุณและโทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ เหล่านี้ ตามเป็นจริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นได้ เพราะไม่ยึดมั่น อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียกว่า ปัญญาวิมุตติ"

การหลุดพ้นด้วยอุภโตภาควิมุตติ

ดูกรอานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการเหล่านี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ

๑. ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๑

๒. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๒

๓. ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงาม นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๓

๔. ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๔

๕. ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ที่ ๕

๖. ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๖

๗. ผู้ที่บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๗

๘. ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๘

ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล วิโมกข์ ๘ ประการ


ภิกษุเข้าวิโมกข์ ๘ ประการเหล่านี้ เป็นอนุโลมบ้าง เป็นปฏิโลมบ้าง เข้าทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง เข้าบ้าง ออกบ้าง ตามคราวที่ต้องการ ตามสิ่งที่ปรารถนา และตามกำหนดที่ต้องประสงค์ จึงบรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน ภิกษุนี้เราเรียกว่า อุภโตภาควิมุตติ

อุภโตภาควิมุตติอื่นจากอุภโตภาควิมุตตินี้ ที่จะยิ่งหรือประณีตไปกว่า ไม่มี”  

พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ยินดี ชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล

 

 

อ้างอิง : มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ ข้อ ๕๗-๖๖ หน้า ๕๐-๖๔