ทวยตานุปัสสนาสูตร - การพิจารณาเห็นธรรมเป็นคู่



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี

ก็สมัยนั้นแล เมื่อราตรีเพ็ญมีพระจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถที่ ๑๕ ค่ำ พระผู้มีพระภาคอันภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งอยู่ในอัพโภกาส ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์สงบนิ่ง จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า


“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

จะมีประโยชน์อะไรเพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออกไป อันให้ถึงปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้แก่ท่านทั้งหลาย

เธอทั้งหลายพึงตอบเขาอย่างนี้ว่า

มีประโยชน์เพื่อรู้ธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างตามความเป็นจริง

ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

ท่านทั้งหลายกล่าวอะไรว่า เป็นธรรม ๒ อย่าง

พึงตอบเขาอย่างนี้ว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ข้อที่ ๑ 
การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เป็นข้อที่ ๒"


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือ เมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

“ชนเหล่าใดไม่รู้ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ไม่มีส่วนเหลือโดยประการทั้งปวง และไม่รู้มรรคอันให้ถึงความเข้าไประงับทุกข์

ชนเหล่านั้นเสื่อมแล้วจากเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เป็นผู้เข้าถึงชาติและชราแท้


ส่วนชนเหล่าใดรู้ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ไม่มีส่วนเหลือโดยประการทั้งปวง และรู้มรรคอันให้ถึงความเข้าไประงับทุกข์ ชนเหล่านั้นถึงพร้อมแล้วด้วยเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ เป็นผู้ควรที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ และเป็นผู้ไม่เข้าถึงชาติและชรา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

พึงตอบเขาว่า พึงมี  

ถ้าเขาพึงถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอุปธิปัจจัย นี้เป็นข้อ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะอุปธิทั้งหลายนี้เองดับไป เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีเป็นอันมากในโลก
ย่อมเกิดเพราะอุปธิเป็นเหตุ
ผู้ใดแลไม่รู้ ย่อมกระทำอุปธิ  

ผู้นั้นเป็นผู้เขลา ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อย ๆ 
เพราะเหตุนั้น...
ผู้พิจารณาเห็นเหตุเกิดแห่งทุกข์เนือง ๆ
ทราบชัดอยู่ ไม่พึงทำอุปธิ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี  

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะอวิชชานั่นเองดับไป เพราะสำรอกโดยไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

อวิชชานั้นเอง เป็นคติของสัตว์ทั้งหลาย
ผู้เข้าถึงชาติ มรณะ และสงสาร

อันมีความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่นบ่อย ๆ  

อวิชชา คือ ความหลงใหญ่นี้
เป็นความเที่ยงอยู่สิ้นกาลนาน...
สัตว์ทั้งหลายผู้ไปด้วยวิชชาเท่านั้น ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะสังขารเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะสังขารทั้งหลายนั่นเองดับไป เพราะสำรอกโดยไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด
ย่อมเกิดขึ้น เพราะสังขารเป็นปัจจัย
เพราะสังขารทั้งหลายดับโดยไม่เหลือ
...ทุกข์จึงไม่เกิด

ภิกษุรู้โทษนี้ว่า
เพราะสังขารเป็นปัจจัย ทุกข์จึงเกิดขึ้น
เพราะความสงบแห่งสังขารทั้งมวล
...สัญญาทั้งหลายจึงดับ
ความสิ้นไปแห่งทุกข์ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้

ภิกษุรู้ความสิ้นไปแห่งทุกข์นี้โดยถ่องแท้
บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นชอบ ผู้ถึงเวทย์
รู้โดยชอบแล้ว
ครอบงำกิเลสเป็นเครื่องประกอบของมารได้แล้ว
ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะวิญญาณนั่นเองดับ เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด
ย่อมเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
เพราะวิญญาณดับโดยไม่เหลือ

…ทุกข์จึงไม่เกิด

ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น...
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยดังนี้แล้ว
ย่อมเป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้ว
เพราะความเข้าไปสงบแห่งวิญญาณ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนืองๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะผัสสะนั่นเองดับ เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ของชนทั้งหลาย
ผู้อันผัสสะครอบงำแล้ว

ผู้แล่นไปตามกระแสแห่งภวตัณหา
ผู้ดำเนินไปแล้วสู่หนทางผิด…ย่อมอยู่ห่างไกล

ส่วนชนเหล่าใดกำหนดรู้ผัสสะด้วยปัญญา
ยินดีแล้วในธรรมเป็นที่เข้าไปสงบ
ชนแม้เหล่านั้น เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้ว
เพราะการดับไปแห่งผัสสะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะเวทนาเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะเวทนานั่นเองดับเพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

ภิกษุรู้เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ สุขเวทนา
หรือทุกขเวทนากับอทุกขมสุขเวทนา
ที่มีอยู่ทั้งภายในและภายนอกว่า

เวทนานี้ เป็นเหตุแห่งทุกข์
มีความสาปสูญไปเป็นธรรมดา
มีความทรุดโทรมไปเป็นธรรมดา
ถูกต้องด้วยอุทยัพพยญาณแล้ว
…เห็นความเสื่อมไปอยู่

ย่อมรู้แจ่มแจ้งความเป็นทุกข์ในเวทนานั้น อย่างนี้
...เพราะเวทนาทั้งหลายสิ้นไปนั้นเอง ทุกข์จึงไม่เกิด  

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็น เนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะตัณหาเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ 

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะตัณหานั่นเองดับ เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

บุรุษผู้มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง...
ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน
ย่อมไม่ล่วงพ้นสงสาร...
อันมีความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่นไปได้

ภิกษุรู้โทษนี้ว่า
ตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์
เป็นผู้มีตัณหาปราศจากไปแล้ว
ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะอุปาทานนั่นเองดับ เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
สัตว์ผู้เกิดแล้วย่อมเข้าถึงทุกข์ ต้องตาย
...นี้เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์

เพราะเหตุนั้น...
บัณฑิตทั้งหลายรู้แล้วโดยชอบ
รู้ยิ่งความสิ้นไปแห่งชาติแล้ว
ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่ เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทาน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความริเริ่มเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะการริเริ่มนั่นเองดับ เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด
...ย่อมเกิดขึ้น เพราะความริเริ่มเป็นปัจจัย
เพราะความริเริ่มดับโดยไม่เหลือ …ทุกข์จึงไม่เกิด  

ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น
เพราะความริเริ่มเป็นปัจจัย ดังนี้แล้ว
สละคืนความริเริ่มได้ทั้งหมดแล้ว
น้อมไปในนิพพานที่ไม่มีความริเริ่ม
ถอนภวตัณหาขึ้นได้แล้ว มีจิตสงบ
มีชาติสงสารสิ้นแล้ว ย่อมไม่มีภพใหม่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนืองๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะอาหารทั้งหมดนั่นเองดับ เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ...
ย่อมเกิดขึ้น เพราะอาหารเป็นปัจจัย
เพราะอาหารทั้งหลายดับโดยไม่เหลือ
...ทุกข์จึงไม่เกิด

ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้ถึงเวทย์ รู้โทษนี้ว่า
ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น เพราะอาหารเป็นปัจจัย ดังนี้แล้ว
กำหนดรู้อาหารทั้งปวง
เป็นผู้อันตัณหาไม่อาศัยในอาหารทั้งหมด
รู้โดยชอบซึ่งนิพพานอันไม่มีโรค

พิจารณาแล้วเสพปัจจัย ๔
ย่อมไม่เข้าถึงการนับว่า เป็นเทวดาหรือมนุษย์
เพราะอาสวะทั้งหลายหมดสิ้นไป

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะความหวั่นไหวทั้งหลายนั่นเองดับไปเพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด
ย่อมเกิดขึ้น เพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย
เพราะความหวั่นไหวดับไม่มีเหลือ...ทุกข์จึงไม่เกิด

ภิกษุรู้โทษนี้ว่า...
ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น เพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย ดังนี้

เพราะเหตุนั้นแล...
ภิกษุสละตัณหาแล้ว ดับสังขารทั้งหลายได้แล้ว
เป็นผู้ไม่มีความหวั่นไหว ไม่ถือมั่น แต่นั้น พึงเว้นรอบ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ความดิ้นรนย่อมมีแก่ผู้อันตัณหา ทิฐิ และมานะอาศัยแล้ว นี้เป็นข้อที่ ๑  

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ผู้ที่ตัณหา ทิฐิ และมานะไม่อาศัยแล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ผู้อันตัณหา ทิฐิ และมานะไม่อาศัยแล้ว
...ย่อมไม่ดิ้นรน

ส่วนผู้อันตัณหา ทิฐิ และมานะอาศัยแล้ว
...ถือมั่นอยู่
...ย่อมไม่ล่วงพ้นสงสารอันมีความเป็นอย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่นไปได้  

ภิกษุรู้โทษนี้ว่า...
เป็นภัยใหญ่ในเพราะนิสสัย คือ
ตัณหา ทิฐิ และมานะทั้งหลายแล้ว

เป็นผู้อันตัณหา ทิฐิ และมานะไม่อาศัยแล้ว
ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า อรูปภพละเอียดกว่ารูปภพ นี้เป็นข้อที่ ๑

การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า นิโรธละเอียดกว่าอรูปภพ นี้เป็นข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

สัตว์เหล่าใดผู้เข้าถึงรูปภพ
และตั้งอยู่ในอรูปภพ...

สัตว์เหล่านั้น เมื่อยังไม่รู้ชัดซึ่งนิพพาน
ก็ยังเป็นผู้จะต้องมาสู่ภพใหม่  

ส่วนชนเหล่าใด กำหนดรู้รูปภพแล้ว
(ไม่) ดำรงอยู่ด้วยดีในอรูปภพ

ชนเหล่านั้น น้อมไปในนิพพานทีเดียว เป็นผู้ละมัจจุเสียได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี 

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

นามรูป ที่โลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ เล็งเห็นว่า นามรูปนี้เป็นของจริง พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั่นเป็นของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑ 

นิพพาน ที่โลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ เล็งเห็นว่า นิพพานนี้เป็นของเท็จ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นิพพานนั้นเป็นของจริง นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒ 


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อันเป็นของมิใช่ตน
...ว่าเป็นตน
…จงดูโลก พร้อมทั้งเทวโลก
ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป
ซึ่งสำคัญนามรูปนี้ว่า เป็นของจริง

…ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป) ด้วยอาการใด ๆ  นามรูปนั้นย่อมเป็นอย่างอื่นไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้น ๆ นามรูปของผู้นั้นแล เป็นของเท็จ

เพราะนามรูป มีความสาปสูญไปเป็นธรรมดา
นิพพาน มีความไม่สาปสูญไปเป็นธรรมดา

พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้นโดยความเป็นจริง
พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล เป็นผู้หายหิว
ดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของจริง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

พึงตอบเขาว่า พึงมี

ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า

พึงตอบเขาว่า

อิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่ายินดี) ที่โลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า เป็นสุข  พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นทุกข์ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑ 

นิพพาน ที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นี้เป็นทุกข์ พระอริยะเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นสุข นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒            


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และธรรมารมณ์
ล้วนน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
มีประมาณเท่าใด… โลกกล่าวว่ามีอยู่

อารมณ์ ๖ อย่างเหล่านี้
...โลกพร้อมทั้งเทวโลกสมมติกันว่า เป็นสุข

แต่ว่าธรรมเป็นที่ดับอารมณ์ ๖ อย่างนี้
...ชนเหล่านั้น สมมติกันว่า ทุกข์

ความดับแห่งเบญจขันธ์
...พระอริยะเจ้าทั้งหลาย เห็นว่าเป็นสุข

ความเห็นขัดแย้งกันกับโลกทั้งปวงนี้
ย่อมมีแก่บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นอยู่

ชนเหล่าอื่นกล่าววัตถุกามใดโดยความเป็นสุข
พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าว วัตถุกามนั้น โดยความเป็นทุกข์

ชนเหล่าอื่นกล่าวนิพพานใดโดยความเป็นทุกข์
พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งกล่าวนิพพานนั้นโดยความเป็นสุข

ท่านจงพิจารณาธรรมที่รู้ได้ยาก
ชนพาลทั้งหลาย ผู้ไม่รู้แจ้ง
พากันลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้
ความมืดตื้อย่อมมีแก่ชนพาลทั้งหลาย
ผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ผู้ไม่เห็นอยู่

ส่วนนิพพานเป็นธรรมชาติเปิดเผยแก่สัตบุรุษ
...ผู้เห็นอยู่ เหมือนอย่างแสงสว่าง ฉะนั้น

ชนทั้งหลาย เป็นผู้ค้นคว้า ไม่ฉลาดต่อธรรม
ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานที่มีอยู่ในที่ใกล้

ชนทั้งหลายผู้ถูกภวราคะครอบงำแล้ว
แล่นไปตามกระแสภวตัณหา
ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมารเนือง
  ๆ
ไม่ตรัสรู้ธรรมนี้ได้โดยง่าย

นอกจากพระอริยเจ้าทั้งหลาย
ใครหนอ... ย่อมควรจะรู้บท คือ นิพพาน
ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ดีแล้ว
พระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีอาสวะ
เพราะรู้โดยชอบ ...ย่อมปรินิพพาน”


พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค

ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุประมาณ ๖๐ รูป หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้แล

 

 

อ้างอิง : ทวยตานุปัสสนาสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๓๙๐-๔๐๗ หน้า ๓๕๑-๓๕๙