มหาสาโรปมสูตร - อุปมาพรหมจรรย์กับแก่นไม้



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ เมื่อพระเทวทัตต์หลีกไปไม่นาน ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงปรารภพระเทวทัตต์ ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า

เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า

ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ
 


เขาบวชแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น  

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

…เขายกตน ข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภ สักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย

เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์

กิ่งและใบของพรหมจรรย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ เขาละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย

...ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น

บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

บุรุษผู้เจริญนี้ไม่รู้จักแก่นไม้ ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ

บุรุษผู้เจริญนี้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย

...ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น 

และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า

ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น เขาย่อมยกตน ข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภ สักการะ และความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย

เขาย่อมมัวเมาถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์

ภิกษุนี้เราเรียกว่า ได้ถือเอากิ่งและใบของพรหมจรรย์ และถึงที่สุดแค่กิ่งและใบนั้น

สะเก็ดพรหมจรรย์

กุลบุตรบางคนในโลกนี้... เขาบวชแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น

เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

...เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ  

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น

…เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีศีล มีกัลยาณธรรม ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ เขาละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกไปเสีย

...ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น

บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

บุรุษผู้เจริญนี้ไม่รู้จักแก่นไม้ ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ

บุรุษผู้เจริญนี้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกไปเสีย

...ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น

และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

มีศรัทธา ออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า 

ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น

เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และสรรเสริญอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ  

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น

...เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีศีล มีกัลยาณธรรม ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม

เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์

ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ถือเอาสะเก็ดของพรหมจรรย์ และถึงที่สุดแค่สะเก็ดนั้น

เปลือกพรหมจรรย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้... เขาบวชแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น

เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น  

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

...เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น  

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ  

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น

…เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิดแล้ว

เขาย่อมมัวเมาถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เปรียบเหมือนบุรุษ ผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ เขาละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสีย

...ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น

บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ 

บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสีย

...ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น

และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า

ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว

ยังลาภ สักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น

เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยมด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

...เขาย่อมยกตน ข่มผู้อื่น ว่าเรามีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิดแล้ว เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์

ภิกษุนี้เราเรียกว่า ได้ถือเอาเปลือกแห่งพรหมจรรย์ และถึงที่สุดแค่เปลือกนั้น

กระพี้พรหมจรรย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ เขาบวชแล้ว

ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น

เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ

เขามีความยินดี ด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาทเพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ

เขามีความยินดี ด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จ

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมแล้ว ด้วยญาณทัสสนะนั้น  

เพราะญาณทัสสนะนั้น

…เขาย่อมยกตน ข่มผู้อื่น ว่าเรารู้ เราเห็นอยู่ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่รู้ ไม่เห็นอยู่

เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะญาณทัสสนะนั้น

เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย

...ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น

บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ

บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้อยู่ เสาะหาแก่นไม้อยู่ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย

...ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น

และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า

ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น

เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น  

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น  

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ

เขามีความยินดี ด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น  

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จ

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมแล้ว ด้วยญาณทัสสนะนั้น  

เพราะญาณทัสสนะอันนั้น

…เขาย่อมยกตน ข่มผู้อื่น ว่าเรารู้ เราเห็นอยู่ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่รู้ ไม่เห็นอยู่ เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะญาณทัสสนะนั้น

เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์

ภิกษุนี้เราเรียกว่า ได้ถือเอากระพี้แห่งพรหมจรรย์ และถึงที่สุดแค่กระพี้นั้นแล

แก่นพรหมจรรย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้... เขาบวชแล้ว

ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น  

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยญาณทัสสนะนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะญาณทัสสนะนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะญาณทัสสนะนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังสมยวิโมกข์ให้สำเร็จ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ข้อที่ภิกษุนั้นจะพึงเสื่อมจากสมยวิมุตินั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ...ถากเอาแก่นถือไป รู้จักว่าแก่น

บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

บุรุษผู้เจริญนี้รู้จักแก่น รู้จักกระพี้ รู้จักเปลือก รู้จักสะเก็ด รู้จักกิ่งและใบ

บุรุษผู้เจริญนี้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ …ถากเอาแก่นถือไป รู้จักว่าแก่น

และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักสำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า

ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ

เขาบวชอย่างนี้แล้ว

ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น

เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยญาณทัสสนะนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะญาณทัสสนะนั้น เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เพราะญาณทัสสนะนั้น

เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังสมยวิโมกข์ให้สำเร็จ

ข้อที่ภิกษุนั้น จะพึงเสื่อมจากสมยวิมุตินั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดังพรรณนามา ฉะนี้

พรหมจรรย์นี้... จึงมิใช่มีลาภ สักการะ
และความสรรเสริญ เป็นอานิสงส์

มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีล เป็นอานิสงส์ 
มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งสมาธิ เป็นอานิสงส์
มิใช่มีญาณทัสสนะ เป็นอานิสงส์

แต่พรหมจรรย์นี้ มีเจโตวิมุติอันไม่กำเริบ เป็นประโยชน์  เป็นแก่น เป็นที่สุด"

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดี พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล้วแล


 

 

 

อ้างอิง : มหาสาโรปมสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๓๔๗-๓๕๒ หน้า ๒๕๖-๒๖๓