ปุคคลสูตร - บุคคล ๔ จำพวก



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี

ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วทรงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท้าวเธอ ผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า


“ดูกรมหาบพิตร บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก

บุคคล ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
บุคคลผู้มืดแล้วมืดต่อไปจำพวก ๑
บุคคลผู้มืดแล้วกลับสว่างต่อไปจำพวก ๑
บุคคลผู้สว่างแล้วกลับมืดต่อไปจำพวก ๑
บุคคลผู้สว่างแล้วคงสว่างต่อไปจำพวก ๑

ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่ามืดแล้วคงมืดต่อไป

บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลอันต่ำ คือในตระกูลจัณฑาล ในตระกูลช่างจักสาน ในตระกูลพราน ในตระกูลช่างรถ หรือในตระกูลคนเทหยากเยื่อ ซึ่งขัดสน มีข้าว น้ำ โภชนาหารน้อย มีอาชีพฝืดเคือง เป็นตระกูลที่หาอาหารและผ้านุ่งห่มได้โดยยาก

และเขาเป็นคนที่มีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู ไม่น่าชม เป็นคนเล็กแคระ มีอาพาธมาก เป็นคนเสียจักษุ เป็นง่อย เป็นคนกระจอกหรือเป็นเปลี้ย

มักหาข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องประทีปไม่ใคร่ได้

เขาซ้ำประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ดูกรมหาบพิตร

บุรุษพึงไปจากความมืดทึบสู่ความมืดทึบ หรือพึงไปจากความมืดมัวสู่ความมืดมัว หรือพึงไปจากโลหิตอันมีมลทินสู่โลหิตอันมีมลทิน ฉันใด

ตถาคตกล่าวว่า บุคคลนี้มีอุปไมยฉันนั้น

อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มืดแล้วคงมืดต่อไป

ดูกรมหาบพิตร

ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มืดแล้วกลับสว่างต่อไป

บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเกิดมาภายหลังในตระกูลอันต่ำทราม คือในตระกูลจัณฑาล ในตระกูลช่างจักสาน ในตระกูลพราน ในตระกูลช่างรถ หรือในตระกูลคนเทหยากเยื่อ ขัดสน มีข้าว น้ำ โภชนาหารน้อย มีอาชีพฝืดเคือง เป็นตระกูลที่หาอาหารและผ้านุ่งห่มได้โดยยาก

และเขาเป็นคนมีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู ไม่น่าชม เป็นคนเล็กแคระ เป็นคนมีอาพาธมาก เป็นคนเสียจักษุ เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือเป็นคนเปลี้ย

มักหาข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และเครื่องประทีปไม่ใคร่ได้

แม้กระนั้น... เขาก็ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

ดูกรมหาบพิตร

บุรุษพึงขึ้นจากแผ่นดินสู่บัลลังก์ หรือพึงขึ้นจากบัลลังก์สู่หลังม้า หรือพึงขึ้นจากหลังม้าสู่คอช้าง หรือพึงขึ้นจากคอช้างสู่ปราสาท แม้ฉันใด

ตถาคตย่อมกล่าวว่า บุคคลนี้มีอุปไมยฉันนั้น

อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มืดแล้วกลับสว่างต่อไป

ดูกรมหาบพิตร

ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่าเป็นผู้สว่างแล้วกลับมืดต่อไป

บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เกิดมาภายหลังในตระกูลสูง คือในตระกูลขัตติยมหาศาล ในตระกูลพราหมณมหาศาล หรือในตระกูลคฤหบดีมหาศาล มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินล้นเหลือ มีของใช้น่าปลื้มใจล้นเหลือ มีทรัพย์คือข้าวเปลือกล้นเหลือ

และเขาเป็นคนมีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความงามแห่งผิวเป็นเยี่ยม

มักหาข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และเครื่องประทีปได้สะดวก

แต่เขากลับประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ดูกรมหาบพิตร

บุรุษลงจากปราสาทสู่คอช้าง หรือลงจากคอช้างสู่หลังม้า หรือลงจากหลังม้าสู่บัลลังก์ หรือลงจากบัลลังก์สู่พื้นดิน หรือจากพื้นดินเข้าไปสู่ที่มืด แม้ฉันใด

ตถาคตกล่าวว่า บุคคลนี้มีอุปไมยฉันนั้น

อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่า เป็นผู้สว่างแล้วกลับมืดต่อไป

ดูกรมหาบพิตร

ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่าเป็นผู้สว่างแล้วคงสว่างต่อไป

บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเกิดมาภายหลังในตระกูลสูง คือในตระกูลขัตติยมหาศาล ในตระกูลพราหมณมหาศาล หรือในตระกูลคฤหบดีมหาศาล อันมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินล้นเหลือ มีของใช้น่าปลื้มใจล้นเหลือ มีทรัพย์คือข้าวเปลือกล้นเหลือ

และเขาเป็นคนมีรูปสวย น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความงามแห่งผิวเป็นเยี่ยม

มักหาข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัยและเครื่องประทีปได้สะดวก

เขาย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

ดูกรมหาบพิตร

บุรุษพึงก้าวไปด้วยดี จากบัลลังก์สู่บัลลังก์ หรือพึงก้าวไปด้วยดี จากหลังม้าสู่หลังม้า หรือพึงก้าวไปด้วยดี จากคอช้างสู่คอช้าง หรือพึงก้าวไปด้วยดี จากปราสาทสู่ปราสาท แม้ฉันใด

ตถาคตย่อมกล่าวว่า บุคคลนี้มีอุปไมยฉันนั้น

อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้สว่างแล้วคงสว่างต่อไป

บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ดังนี้

ดูกรมหาบพิตร

บุรุษเข็ญใจไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น มีความดำริชั่ว เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ ย่อมด่า ย่อมบริภาษสมณะหรือพราหมณ์ หรือวณิพกอื่น ๆ

เขาเป็นคนไม่มีประโยชน์ เป็นคนมักขึ้งเคียด ย่อมห้ามคนที่กำลังจะให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ

ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่งของประชาราษฎร์

คนเช่นนั้นเมื่อตายไป ...ย่อมเข้าถึงนรกอันร้ายแรง นี่ชื่อว่า ผู้มืดแล้วคงมืดต่อไป

ดูกรมหาบพิตร

บุรุษบางคนเป็นคนเข็ญใจ แต่เป็นคนมีศรัทธา ไม่มีความตระหนี่ เขามีความดำริประเสริฐ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน

ย่อมให้ทาน ย่อมลุกรับสมณะหรือพราหมณ์ หรือวณิพกอื่น ๆ ย่อมสำเหนียกในจรรยาอันเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กำลังจะให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ

ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่งของประชาราษฎร์

คนเช่นนั้นเมื่อตายไป  …ย่อมเข้าถึงไตรทิพสถาน นี่ชื่อว่า ผู้มืดแล้วกลับสว่างต่อไป

ดูกรมหาบพิตร

บุรุษบางคนถึงหากจะมั่งมี แต่ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีความตระหนี่เหนียวแน่น มีความดำริชั่ว เป็นมิจฉาทิฐิ

ไม่มีความเอื้อเฟื้อ ย่อมด่าย่อมบริภาษสมณะหรือพราหมณ์ หรือวณิพกอื่น ๆ เขาเป็นคนไม่มีประโยชน์ เป็นคนมักขึ้งเคียด ย่อมห้ามคนที่กำลังจะให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ

ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่งของประชาราษฎร์

คนเช่นนั้น เมื่อตายไป  …ย่อมเข้าถึงนรกอันร้ายแรง นี่ชื่อว่า ผู้สว่างแล้วกลับมืดต่อไป

ดูกรมหาบพิตร

บุรุษบางคนถึงหากจะมั่งมี ก็เป็นคนมีศรัทธา ไม่มีความตระหนี่ เขามีความดำริประเสริฐ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน

ย่อมให้ทาน ย่อมลุกรับสมณะหรือพราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่น ๆ ย่อมสำเหนียกในจรรยาอันเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กำลังจะให้โภชนาหารแก่ผู้ที่ขอ

ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่งของประชาราษฎร์

คนเช่นนั้นเมื่อตายไป  …ย่อมเข้าถึงไตรทิพสถาน นี่ชื่อว่า ผู้สว่างแล้วคงสว่างต่อไป ดังนี้”

 

 

อ้างอิง : ปุคคลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ ข้อที่ ๓๙๓-๓๙๘  หน้า ๑๑๖-๑๑๙