ปายาสิราชัญญสูตร - ปัญหาของเจ้าปายาสิ



สมัยหนึ่ง ท่านปฏิคาหกเที่ยวจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ลุถึงนครแห่งชาวโกศลชื่อเสตัพยะ ได้ยินว่า สมัยนั้น ท่านพระกุมารกัสสปอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด ด้านเหนือนครเสตัพยะ เขตนครเสตัพยะ

ก็สมัยนั้น เจ้าปายาสิครองเสตัพยนคร ซึ่งคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ สมบูรณ์ด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติอันพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย 


สมัยนั้น ทิฐิอันลามกเห็นปานนี้บังเกิดแก่เจ้าปายาสิว่า

แม้เพราะเหตุนี้
โลกหน้าไม่มี
เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี
ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี  

พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ ได้ทราบข่าวว่าท่านพระกุมารกัสสปสาวกของพระสมณโคดม เที่ยวจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ลุถึงนครเสตัพยะแล้ว อยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด ด้านเหนือนครเสตัพยะ เขตนครเสตัพยะ

เกียรติศัพท์อันงามของท่านกุมารกัสสปองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า

เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา
เป็นพหูสูต มีถ้อยคำอันวิจิตร มีปฏิภาณดี
เป็นทั้งพุทธบุคคล เป็นทั้งพระอรหันต์
ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล ดังนี้

ครั้งนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ พากันออกจากนครเสตัพยะเป็นหมู่ ๆ บ่ายหน้าทางทิศอุดรไปยังป่าไม้สีเสียด  

สมัยนั้น เจ้าปายาสิทรงพักผ่อนกลางวันอยู่ ณ ปราสาทชั้นบน ได้เห็นพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ พากันออกจากนครเสตัพยะ จึงเรียกนายนักการมาถามว่า

“พ่อนักการ พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะพากันออกจากนครเสตัพยะเป็นหมู่ ๆ บ่ายหน้าทางทิศอุดรไปยังป่าไม้สีเสียดทำไมกัน”

นายนักการกราบทูลว่า

“มีเรื่องอยู่พระองค์ พระสมณกุมารกัสสป สาวกของพระสมณโคดม เที่ยวจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ลุถึงนครเสตัพยะ อยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด ด้านเหนือนครเสตัพยะ เกียรติศัพท์อันงามของท่านกุมารกัสสปองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า

เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา เป็นพหูสูต มีถ้อยคำอันวิจิตร มีปฏิภาณดี เป็นทั้งพุทธบุคคล เป็นทั้งพระอรหันต์

พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นพากันเข้าไปหา เพื่อดูท่านกุมารกัสสปองค์นั้น”  

“ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเข้าไปหาพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ บอกเขาอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย เจ้าปายาสิสั่งว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงรอก่อน เจ้าปายาสิจะเข้าไปหาพระสมณกุมารกัสสปด้วย

เมื่อก่อน พระกุมารกัสสปได้ยังพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ ผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ให้เข้าใจว่า

แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่  

พ่อนักการ ความจริงโลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”  

นักการรับพระดำรัสของเจ้าปายาสิแล้ว เข้าไปหาพราหมณ์และคฤหบดี ชาวนครเสตัพยะแล้วบอกว่า ท่านทั้งหลาย เจ้าปายาสิสั่งว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงรอก่อน เจ้าปายาสิจะเข้าไปหาพระสมณกุมารกัสสปด้วย”

ลำดับนั้น เจ้าปายาสิแวดล้อมด้วยพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ เสด็จเข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปยังป่าไม้สีเสียด ครั้นแล้ว ได้ปราศรัยกับท่านพระกุมารกัสสป ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ฝ่ายพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ บางพวกก็ถวายอภิวาท บางพวกก็ปราศรัย บางพวกก็ประนมอัญชลีไปทางท่านพระกุมารกัสสป บางพวกก็ประกาศชื่อและโคตร บางพวกก็นิ่งอยู่ แล้วต่างก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  

ครั้นแล้ว เจ้าปายาสิได้ตรัสกะท่านพระกุมารกัสสปอย่างนี้ว่า


"ดูกรท่านกัสสป ข้าพเจ้ามีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า... แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

พระกุมารกัสสปแก้ทิฏฐิเจ้าปายาสิ

พระกุมารกัสสปทูลว่า

“ดูกรบพิตร อาตมภาพได้เห็น หรือได้ยินซึ่งบุคคลผู้มีวาทะอย่างนี้ ผู้มีทิฐิอย่างนี้แล้ว มีความคิดว่า 'ไฉนเล่า เขาจึงกล่าวอย่างนี้'

ถ้าเช่นนั้นอาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้ บพิตรพึงทรงพยากรณ์ตามที่ควรแก่บพิตร

อุปมาพระจันทร์ พระอาทิตย์

บพิตรจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

พระจันทร์และพระอาทิตย์นี้ อยู่ในโลกนี้หรือในโลกหน้า เป็นเทวดาหรือมนุษย์”  

“ดูกรท่านกัสสป พระจันทร์และพระอาทิตย์นี้ อยู่ในโลกหน้า มิใช่โลกนี้ เป็นเทวดาไม่ใช่มนุษย์”

“ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า

แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่" 

"ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า

แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี  เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”

“ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ”  

“มีอยู่ ท่านกัสสป”  

อุปมาบุรุษอ้อนวอนเพชฌฆาต

“เปรียบเหมือนอะไร บพิตร”  

“ดูกรท่านกัสสป มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของข้าพเจ้าในโลกนี้ ที่เป็นคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด

สมัยอื่น คนเหล่านั้นป่วย ได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก เมื่อใดข้าพเจ้าทราบว่า บัดนี้คนพวกนี้จักไม่หายจากป่วย เมื่อนั้นข้าพเจ้าเข้าไปหาคนพวกนั้น แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า

ท่านทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า

บุคคลที่ฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

…พวกท่านเป็นคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด

ถ้าคำของสมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นจริง… พวกท่านเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักต้องเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ถ้าเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก พวกท่านพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกไซร้ พึงมาบอกเราด้วยวิธีไรว่า

แม้เพราะเหตุนี้…โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

พวกท่านพอเป็นที่เชื่อถือ พอเป็นที่ไว้ใจของเราได้ สิ่งใดที่พวกท่านเห็น สิ่งนั้นจักเป็นเหมือนดังเราเห็นเอง

คนเหล่านั้น รับคำข้าพเจ้าแล้ว …หาได้มาบอกไม่ หาได้ส่งทูตมาไม่

ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้ บพิตรพึงทรงพยากรณ์ตามที่ควรแก่บพิตร

บพิตรจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

บุรุษในโลกนี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบ มาแสดงแก่บพิตรว่า

"ข้าแต่พระองค์ ผู้นี้เป็นโจร ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสอาชญานั้นเถิด"

บพิตรพึงตรัสบอกบุรุษพวกนั้น อย่างนี้ว่า

"ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเอาเชือกอย่างเหนียว มัดบุรุษนี้ให้มีมือไพล่หลังอย่างมั่นคง แล้วโกนศีรษะพาเที่ยวตระเวนไปตามถนนทุกถนน ตามตรอกทุกตรอก ด้วยบัณเฑาะว์มีเสียงดัง แล้วออกทางประตูด้านทักษิณ แล้วตัดศีรษะเสียที่ตะแลงแกงทางทิศทักษิณแห่งพระนคร"

บุรุษพวกนั้นรับพระดำรัสแล้ว ...โจรจะพึงได้รับความผ่อนผันจากนายเพชฌฆาตหรือหนอว่า

"ขอท่านนายเพชฌฆาตจงรอจนกว่าข้าพเจ้าจะได้ไปแจ้งแก่ มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต แล้วจะมา หรือว่านายเพชฌฆาต จะพึงตัดศีรษะโจรผู้กำลังอ้อนวอนอยู่”  

“ดูกรท่านกัสสป โจรนั้นจะไม่พึงได้รับความผ่อนผันในนายเพชฌฆาต …ที่แท้นายเพชฌฆาต จะพึงตัดศีรษะโจรนั้น ผู้กำลังอ้อนวอนอยู่ทีเดียว”

“ดูกรบพิตร โจรนั้นเป็นมนุษย์ ยังไม่ได้รับความผ่อนผันในนายเพชฌฆาตผู้เป็นมนุษย์

มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของบพิตร ที่เป็นคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกแล้ว จักได้ความผ่อนผันในนายนิรยบาลละหรือว่า...

ขอท่านนายนิรยบาล จงรอจนกว่าข้าพเจ้าจะไปบอกแก่เจ้าปายาสิว่า แม้เพราะเหตุนี้โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่”  

“ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”  

“ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ”  

“มีอยู่ ท่านกัสสป”  

อุปมาบุรุษออกจากหลุมคูถ

“เปรียบเหมือนอะไร บพิตร”  

“ดูกรท่านกัสสป มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของข้าพเจ้าในโลกนี้ ที่เป็นคนงดเว้นจากการฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบพูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ

สมัยอื่น คนเหล่านั้นป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก เมื่อใดข้าพเจ้าทราบว่า บัดนี้คนพวกนี้จักไม่หายจากป่วย เมื่อนั้น ข้าพเจ้าไปหาคนพวกนั้นแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า

ท่านทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า

บุคคลที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

พวกท่านเป็นคนงดเว้นจากการฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ

ถ้าคำของสมณพราหมณ์นั้นเป็นจริง …พวกท่านเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

ถ้าเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก พวกท่านพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ไซร้ พึงมาบอกเราด้วยวิธีไรว่า

แม้เพราะเหตุนี้… โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

พวกท่านแลเป็นที่เชื่อถือ เป็นที่ไว้ใจของเราได้ สิ่งที่พวกท่านเห็น สิ่งนั้นจักเป็นเหมือนดังเราเห็นเอง

คนเหล่านั้นรับคำข้าพเจ้าแล้ว …หาได้มาบอกไม่ หาได้ส่งทูตมาไม่” 

ปริยายนี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”  

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมาจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา   

ดูกรบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจมแล้วในหลุมคูถ จมมิดศีรษะ เมื่อเป็นเช่นนั้น บพิตรพึงตรัสสั่งบุรุษว่า...

พวกท่านจงช่วยกัน ยกบุรุษนั้นขึ้นจากหลุมคูถนั้น

พวกเขารับพระดำรัสของบพิตรแล้ว จึงช่วยกันยกบุรุษนั้นขึ้นจากหลุมคูถนั้น

บพิตรพึงตรัสบอกพวกเขาอย่างนี้ว่า 

พวกท่านจงเอาซี่ไม้ไผ่ขูดคูถออกจากกายบุรุษนั้นให้หมดจด  

พวกเขารับพระดำรัสของบพิตรแล้ว เอาซี่ไม้ไผ่ขูดคูถออกจากกายบุรุษนั้นหมดจดแล้ว

บพิตรพึงตรัสบอกพวกเขา อย่างนี้ว่า  

พวกท่านจงเอาดินสีเหลืองขัดสีกายบุรุษนั้นสามครั้ง

พวกเขารับพระดำรัสของบพิตรแล้ว เอาดินสีเหลืองขัดสีกายบุรุษนั้นสามครั้ง

บพิตรพึงตรัสสั่งพวกเขาอย่างนี้ว่า  

พวกท่านจงเอาน้ำมันชะโลมบุรุษนั้น แล้วกระทำการลูบไล้ด้วยจุณอย่างละเอียด ให้ผุดผ่องสิ้นสามครั้ง   

พวกเขาก็เอาน้ำมันชะโลมบุรุษนั้น แล้วกระทำการลูบไล้ด้วยจุณอย่างละเอียด ให้ผุดผ่องสิ้นสามครั้ง

บพิตรพึงตรัสบอกพวกเขาอย่างนี้ว่า   

พวกท่านจงตัดผมและหนวดของบุรุษนั้น

พวกเขาก็ตัดผมและหนวดของบุรุษนั้น

บพิตรพึงตรัสบอกพวกเขาอย่างนี้ว่า

พวกท่านจงนำพวงดอกไม้ เครื่องลูบไล้และผ้า ซึ่งล้วนมีราคามากเข้าไปให้แก่บุรุษนั้น 

พวกเขาก็นำพวงดอกไม้ เครื่องลูบไล้และผ้า ซึ่งล้วนมีราคามากเข้าไปให้แก่บุรุษนั้น

บพิตรพึงตรัสบอกพวก เขาอย่างนี้ว่า

พวกท่านจงเชิญบุรุษนั้นขึ้นสู่ปราสาท แล้วบำรุงด้วยกามคุณ ๕

พวกเขาก็เชิญบุรุษนั้นขึ้นสู่ปราสาท แล้วบำรุงด้วยกามคุณ ๕

ดูกรบพิตร บพิตรจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

เมื่อบุรุษนั้นอาบน้ำแล้ว ลูบไล้ดีแล้ว ตัดผมและหนวดแล้ว ประดับด้วยอาภรณ์แก้วมณีแล้ว นุ่งผ้าขาวสะอาด ขึ้นสู่ปราสาทอย่างประเสริฐชั้นบน เพรียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรออยู่ จะพึงมีความประสงค์ที่จะจมลงในหลุมคูถนั้นอีกบ้างหรือหนอ”  

“หามิได้ ท่านกัสสป”  

“ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร

เพราะหลุมคูถไม่สะอาด เป็นทั้งไม่สะอาด ทั้งนับว่าไม่สะอาด ทั้งมีกลิ่นเหม็น ทั้งนับว่ามีกลิ่นเหม็น ทั้งน่าเกลียด ทั้งนับว่าน่าเกลียด ทั้งปฏิกูล ทั้งนับว่าปฏิกูล  

ฉันนั้นแหละ บพิตร พวกมนุษย์เป็นผู้ไม่สะอาด ทั้งนับว่าไม่สะอาด ทั้งมีกลิ่นเหม็น ทั้งนับว่ามีกลิ่นเหม็น ทั้งน่าเกลียด ทั้งนับว่าน่าเกลียด ทั้งปฏิกูล ทั้งนับว่าปฏิกูลของพวกเทวดา กลิ่นมนุษย์ย่อมฟุ้งไปในเทวดาตลอดร้อยโยชน์ 

ก็มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของบพิตร ที่เป็นคนงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากการพูดเท็จพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์แล้ว พวกเขาจักมาทูลพระองค์ได้ละหรือว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่  

ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า

แม้เพราะเหตุนี้…โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่”  

“ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”  

“ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ”  

“มีอยู่ ท่านกัสสป”  

อุปมาเวลาบนสวรรค์

“เปรียบเหมือนอะไร บพิตร”

ดูกรท่านกัสสป มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของข้าพเจ้าในโลกนี้ ที่เป็นคนงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นฐานแห่งความประมาท

สมัยอื่น คนเหล่านั้นป่วยได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก

เมื่อใด ข้าพเจ้าทราบว่า บัดนี้คนพวกนี้จักไม่หายจากป่วย เมื่อนั้น ข้าพเจ้าเข้าไปหาคนพวกนั้นแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า

ท่านทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า

บุคคลที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นฐานแห่งความประมาท เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายกับเทวดาชั้นดาวดึงส์

...พวกท่านเป็นคนเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นฐานแห่งความประมาท

ถ้าคำของสมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นความจริง

...พวกท่านเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ 

ถ้าเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก พวกท่านพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ไซร้ พึงมาบอกเราด้วยวิธีไรว่า

แม้เพราะเหตุนี้… โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ 

พวกท่านแลพอเป็นที่เชื่อถือ พอเป็นที่ไว้ใจของเราได้ สิ่งใดที่พวกท่านเห็น สิ่งนั้นจักเป็นเหมือนดังเราเห็นเอง

คนเหล่านั้นรับคำข้าพเจ้าแล้ว …หาได้มาบอกไม่ หาได้ส่งทูตมาไม่

ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”  

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้ บพิตรพึงทรงพยากรณ์ตามที่ควรแก่บพิตร

ร้อยปีของมนุษย์ เป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ สามสิบราตรีโดยราตรีนั้น เป็นเดือนหนึ่ง สิบสองเดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง พันปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์

มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของบพิตร ที่เป็นคนเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นฐานแห่งความประมาท เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว ถ้าพวกเขาจักมีความคิดอย่างนี้ว่า

รอเวลาที่พวกเราเพรียบพร้อมไปด้วยกามคุณ ๕ บำเรออยู่ตลอดสองคืน สองวัน หรือสามคืนสามวันก่อน จะพึงไปทูลเจ้าปายาสิว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

พวกเขาจะพึงมาทูลว่า แม้เพราะเหตุนี้… โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ บ้างหรือหนอ”  

“หามิได้ ท่านกัสสป ด้วยว่าพวกเราถึงจะทำกาละไปนานแล้วก็จริง

แต่ใครเล่าบอกความข้อนี้แก่ท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้ พวกเรามิได้เชื่อต่อท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้”  

“ดูกรบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดแต่กำเนิด ไม่พึงเห็นรูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบและไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ และพระอาทิตย์

เขาจะพึงพูดอย่างนี้ว่า

รูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบ และไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์…ไม่มี 

ผู้ที่เห็นรูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบ และไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็…ไม่มี

…เราไม่รู้สิ่งนี้ เราไม่เห็นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นจึงไม่มี

ดูกรบพิตร บุคคลเมื่อจะพูดให้ถูก จะพึงพูดดังนั้น หรือหนอ”  

“หามิได้ท่านกัสสป

รูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง  สีแดงฝาด รูปที่เรียบ และไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์…มีอยู่

ผู้ที่เห็น รูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบ และไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์…ก็มีอยู่

ดูกรท่านกัสสป บุคคลนั้น เมื่อจะพูดให้ถูก จะพึงพูดว่า

…เราไม่รู้สิ่งนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นจึงไม่มีดังนี้ หาได้ไม่”

“ฉันนั้นแหละบพิตร บพิตรย่อมปรากฏเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด เหตุพระดำรัสที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า

ก็ใครเล่าบอกความแก่ท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้ พวกเรามิได้เชื่อต่อท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้

โลกหน้า บุคคลจะพึงเห็นเหมือนดังที่บพิตรทรงทราบด้วยมังสจักษุนี้ ...หามิได้  

ดูกรบพิตร สมณพราหมณ์พวกใด เสพเสนาสนะอันสงัดซึ่งอยู่ในป่า สมณพราหมณ์พวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่ในเสนาสนะนั้น...

ยังทิพยจักษุให้บริสุทธิ์  มีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์แล้ว

…ย่อมแลเห็นทั้งโลกนี้ ...ทั้งโลกหน้า ...และเหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น

ก็โลกหน้า บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยประการฉะนี้แล หาเหมือนดังที่บพิตรทรงทราบด้วยมังสจักษุนี้ไม่  

ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า

แม้เพราะเหตุนี้… โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่”  

“ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้าก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”

“ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ”

“มีอยู่ ท่านกัสสป”  

อุปมาหญิงมีครรภ์

“เปรียบเหมือนอะไร บพิตร”              

“ดูกรท่านกัสสป ข้าพเจ้าได้เห็นสมณพราหมณ์ในโลกนี้ ซึ่งเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ยังประสงค์จะมีชีวิตอยู่ ไม่ประสงค์จะตาย ยังปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์

ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่า…

ถ้าท่านสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมพวกนี้จะพึงทราบอย่างนี้ว่า เมื่อเราตายไปจากโลกนี้แล้ว คุณงามความดีจักมีดังนี้ไซร้

บัดนี้ ท่านสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมพวกนี้ พึงดื่มยาพิษ พึงนำมาซึ่งศาตรา พึงผูกคอตาย หรือพึงโจนลงไปในเหว

ก็เพราะเหตุที่ท่านสมณพราหมณ์ ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมพวกนี้ ไม่ทราบอย่างนี้ว่า...

เมื่อเราตายไปจากโลกนี้แล้ว... คุณงามความดีจักมี ฉะนั้น จึงยังประสงค์จะมีชีวิตอยู่ ไม่ประสงค์จะตาย ...ยังปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์

ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า  แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”  

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา

ท่านพระกุมารกัสสปจึงเล่าว่า

เรื่องเคยมีมาแล้ว พราหมณ์คนหนึ่งมีภริยาสองคน ภริยาคนหนึ่งมีบุตรอายุได้ ๑๐ ปี ภริยาอีกคนหนึ่งตั้งครรภ์จวนจะคลอด

ครั้งนั้น พราหมณ์นั้นทำกาละแล้ว มาณพนั้นจึงได้พูดกะแม่เลี้ยงว่า

แม่…ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงิน หรือทองทั้งหมดนั้นของฉัน แม่หามีส่วนอะไรในทรัพย์สมบัตินี้ไม่ ขอแม่จงมอบมรดกซึ่งเป็นของบิดาแก่ฉันเถิด

เมื่อเขาพูดอย่างนั้นแล้ว นางพราหมณีกล่าวตอบมาณพนั้นว่า

พ่อ ขอพ่อจงรอจนกว่าแม่จะคลอดเถิด ถ้าลูกที่คลอดออกมาเป็นชาย เขาจักได้รับส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นหญิง ก็จักเป็นบาทปริจาริกของพ่อ  

แม้ครั้งที่สอง มาณพก็ได้พูดกะแม่เลี้ยงอย่างนั้น ...

แม้ครั้งที่สอง นางพราหมณีนั้นก็ได้พูดกะมาณพนั้นอย่างนั้น ...

แม้ครั้งที่สาม มาณพนั้นก็ได้พูดกะแม่เลี้ยงอย่างนั้นว่า

แม่ ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงินหรือทองทั้งหมดนั้นเป็นของฉัน แม่หามีส่วนอะไรในทรัพย์สมบัตินี้ไม่ ขอแม่จงมอบมรดกซึ่งเป็นของบิดาแก่ฉันเถิด 

ลำดับนั้น นางพราหมณีนั้น ถือมีดเข้าไปในห้องน้อย แหวะท้อง เพื่อจะทราบว่าบุตรเป็นชายหรือหญิง

เมื่อท่านพระกุมารกัสสปเล่าจบ ได้กล่าวต่อไปว่า

ดูกรบพิตร นางพราหมณีได้ทำลายตน ชีวิตครรภ์ และทรัพย์สมบัติ เพราะนางพราหมณีเป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหามรดกโดยอุบายไม่แยบคาย ได้ถึงความพินาศ ฉันใด

บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหาโลกหน้าด้วยอุบายไม่แยบคาย จักถึงความพินาศ เหมือนนางพราหมณีผู้เป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหามรดกโดยอุบายไม่แยบคาย ได้ถึงความพินาศ ฉะนั้น

ดูกรบพิตร

สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม
ย่อมจะไม่บ่มผลที่ยังไม่สุกให้รีบสุก
และผู้เป็นบัณฑิตย่อมรอผลอันสุกเอง

อันชีวิตของสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม แปลกกว่าคนอื่น ๆ คือว่า

สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ดำรงอยู่สิ้นกาลนานเท่าใด …ท่านย่อมประสพบุญมากเท่านั้น

และปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ดูกรบพิตร  โดยปริยายนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่”

“ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้าก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”

“ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ”

“มีอยู่ ท่านกัสสป”

อุปมาความฝัน

“เปรียบเหมือนอะไร บพิตร  

“ดูกรท่านกัสสป บุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมาแสดงแก่ข้าพเจ้าว่า

ข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด

ข้าพเจ้าบอกบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า  

ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงใส่บุรุษผู้นี้ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในหม้อแล้วปิดปากหม้อเสีย เอาหนังที่ยังสดรัด แล้วเอาดินเหนียวพอกเข้าให้หนา ยกขึ้นสู่เตาแล้วติดไฟ

บุรุษพวกนั้นรับคำข้าพเจ้า

แล้วจึงใส่บุรุษนี้ซึ่งยังมีชีวิตอยู่เข้าในหม้อแล้วปิดปากหม้อ เอาหนังที่ยังสดรัด แล้วเอาดินเหนียวพอกเข้าให้หนา ยกขึ้นสู่เตาแล้วติดไฟ

เมื่อข้าพเจ้าทราบว่าบุรุษนั้นทำกาละแล้ว... จึงให้ยกหม้อนั้นลง กะเทาะดินออก แล้วเปิดปากหม้อ ค่อย ๆ ตรวจดูว่า บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง ...พวกเราไม่ได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย

ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้

บพิตรพึงทรงพยากรณ์ตามที่ควรแก่บพิตร

บพิตรบรรทมกลางวัน ทรงรู้สึกฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ พื้นที่อันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ บ้างหรือ”

“เคยฝัน ท่านกัสสป”  

“ในเวลานั้น หญิงค่อม หญิงเตี้ย นางพนักงานภูษามาลา หรือกุมาริกา คอยรักษาบพิตรอยู่หรือ”  

“อย่างนั้น ท่านกัสสป”

“คนเหล่านั้น เห็นชีวะของบพิตรเข้าหรือออกบ้างหรือเปล่า”  

“หามิได้ ท่านกัสสป"

"ดูกรบพิตร ก็คนเหล่านั้น มีชีวิตอยู่ ยังมิได้เห็นชีวะของบพิตรผู้ยังทรงพระชนม์อยู่เข้าหรือออกอยู่

ก็ไฉน บพิตรจักได้ทอดพระเนตรชีวะของผู้ที่ทำกาละไปแล้ว เข้าหรือออกอยู่เล่า  

ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่”

“ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้นในปริยายนี้ ข้าพเจ้าก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”

“ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี  เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ”

“มีอยู่ ท่านกัสสป”

อุปมาก้อนเหล็กถูกไฟเผา

“เปรียบเหมือนอะไร บพิตร”

“ดูกรท่านกัสสป บุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมา แสดงแก่ข้าพเจ้าว่า

ข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด

ข้าพเจ้าบอกบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า

ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเอาตาชั่งชั่งบุรุษนี้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอาเชือกรัดให้ขาดใจตาย แล้วเอาตาชั่ง ชั่งอีกครั้งหนึ่ง

บุรุษพวกนั้นรับคำข้าพเจ้าแล้ว เอาตาชั่งชั่งบุรุษนั้นผู้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอาเชือกรัดให้ขาดใจตาย แล้วเอาตาชั่งชั่งอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อบุรุษนั้นยังมีชีวิตอยู่... ย่อมเบากว่า อ่อนกว่า และควรแก่การงานกว่า

แต่เมื่อเขาทำกาละแล้ว... ย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า และไม่ควรแก่การงานกว่า  

ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา  

ดูกรบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษเอาตาชั่ง ชั่งก้อนเหล็กที่เผาไว้วันยังค่ำ ไฟติดทั่ว ลุกโพลงแล้ว ต่อมา เอาตาชั่งชั่งเหล็กนั้นซึ่งเย็นสนิทแล้ว เมื่อไรหนอก้อนเหล็กนั้นจะเบากว่า อ่อนกว่า หรือควรแก่การงานกว่า คือว่าเมื่อไฟติดทั่ว ลุกโพลงอยู่แล้ว หรือว่าเมื่อเย็นสนิทแล้ว"

"ดูกรท่านกัสสป เมื่อใดก้อนเหล็กนั้นประกอบด้วยไฟ ประกอบด้วยลม ไฟติดทั่วลุกโพลงแล้ว เมื่อนั้นจึงจะเบากว่า อ่อนกว่า และควรแก่การงานกว่า

แต่เมื่อใดก้อนเหล็กนั้นไม่ประกอบด้วยไฟ และไม่ประกอบด้วยลม เย็นสนิทแล้ว เมื่อนั้นจึงจะหนักกว่า กระด้างกว่า และไม่ควรแก่การงานกว่า" 

"ฉันนั้นแหละบพิตร

เมื่อใด… กายนี้ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้นย่อมเบากว่า อ่อนกว่า ควรแก่การงานกว่า

แต่ว่าเมื่อใด… กายนี้ไม่ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้นย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า ไม่ควรแก่การงานกว่า

ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่”

“ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้นในปริยายนี้ ข้าพเจ้าก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”  

“ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ”

“มีอยู่ ท่านกัสสป”

อุปมาคนเป่าสังข์

“เปรียบเหมือนอะไร บพิตร”

“ดูกรท่านกัสสป บุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมา แสดงแก่ข้าพเจ้าว่า

ข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอให้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด

ข้าพเจ้าบอกบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า  

ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงปลงบุรุษนี้จากชีวิต อย่าให้ผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกชอกช้ำ บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง

บุรุษพวกนั้นรับคำของข้าพเจ้าแล้ว

ย่อมปลงบุรุษนั้นจากชีวิต มิให้ผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกชอกช้ำ

เมื่อบุรุษนั้นเริ่มจะตาย... ข้าพเจ้าสั่งบุรุษพวกนั้นว่า

ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงผลักบุรุษนี้ให้นอนหงาย บางที จะได้เห็นชีวะของเขาออกมาบ้าง

บุรุษพวกนั้นผลักบุรุษนั้นให้นอนหงาย... พวกเรามิได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย

ข้าพเจ้าจึงสั่งบุรุษพวกนั้นว่า

ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงพลิกบุรุษนี้ให้นอนคว่ำลง จงพลิกให้นอนตะแคงข้างหนึ่ง  จงพลิกให้นอนตะแคงอีกข้างหนึ่ง จงพยุงให้ยืนขึ้น จงจับเอาศีรษะลง จงทุบด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตรา จงลากมาข้างนี้ จงลากไปข้างโน้น จงลากไป ๆ มา ๆ บางที จะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง

บุรุษพวกนั้นลากบุรุษนั้นมาข้างนี้ ลากไปข้างโน้น  ลากไป ๆ มา ๆ พวกเรามิได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย

ตาของเขาก็ดวงนั้นแหละ รูปก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้งรูปายตนะด้วยตาไม่ได้ หูก็อันนั้นแหละ เสียงก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้งสัททายตนะด้วยหูไม่ได้ จมูกก็อันนั้นแหละ กลิ่นก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้งคันธายตนะด้วยจมูกไม่ได้ ลิ้นก็อันนั้นแหละ รสก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้งรสายตนะด้วยลิ้นไม่ได้ กายก็อันนั้นแหละ โผฏฐัพพะก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้งโผฏฐัพพายตนะด้วยกายไม่ได้      

ดูกรท่านกัสสป ปริยายนี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี"

"ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้ บางพวก ย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา

ท่านพระกุมารกัสสปจึงเล่าว่า

เรื่องเคยมีมาแล้ว คนเป่าสังข์คนหนึ่ง ถือเอาสังข์ไปยังปัจจันตชนบท เขาเข้าไปยังบ้านแห่งหนึ่ง ยืนอยู่กลางบ้าน เป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววางสังข์ไว้ที่แผ่นดิน นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ลำดับนั้น พวกมนุษย์ในปัจจันตชนบท  ได้เกิดความตื่นเต้นว่า

"ท่านทั้งหลาย นั่นเสียงใครหนอ ช่างเป็นที่พอใจถึงเพียงนี้ ควรแก่การงานถึงเพียงนี้ เป็นที่ตั้งแห่งความเพลิดเพลินถึงเพียงนี้ ช่างจับจิตถึงเพียงนี้ ช่างไพเราะถึงเพียงนี้"

พวกเขาต่างมาล้อมถามคนเป่าสังข์นั้นว่า

"พ่อ นั่นเสียงของใครหนอ ช่างเป็นที่พอใจถึงเพียงนี้ ควรแก่การงานถึงเพียงนี้ เป็นที่ตั้งแห่งความเพลิดเพลินถึงเพียงนี้ ช่างจับจิตถึงเพียงนี้ ช่างไพเราะถึงเพียงนี้"

คนเป่าสังข์ตอบว่า

"ท่านทั้งหลาย นั่นคือสังข์ซึ่งมีเสียงเป็นที่พอใจถึงเพียงนี้ ควรแก่การงานถึงเพียงนี้ เป็นที่ตั้งแห่งความเพลิดเพลินถึงเพียงนี้ ช่างจับจิตถึงเพียงนี้ ช่างไพเราะถึงเพียงนี้"

พวกเขาจับสังข์นั้นหงายขึ้นแล้วบอกว่า

"พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์"

สังข์นั้นหาได้ออกเสียงไม่ พวกเขาจับสังข์นั้นให้คว่ำลง จับให้ตะแคงข้างหนึ่ง จับให้ตะแคงอีกข้างหนึ่ง ชูให้สูง วางให้ต่ำ เคาะด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตรา ลากมาข้างนี้ ลากไปข้างโน้น ลากไป ๆ มา ๆ แล้วบอกว่า

"พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์"

สังข์นั้นหาได้ออกเสียงไม่

ลำดับนั้น คนเป่าสังข์ได้มีความคิดว่า...

"พวกมนุษย์ปัจจันตชนบทเหล่านี้ ช่างโง่เหลือเกิน จักแสวงหาเสียงสังข์โดยไม่ถูกทางได้อย่างไรกัน"

เมื่อมนุษย์พวกนั้นกำลังมองดูอยู่ เขาจึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่า ๓ ครั้ง แล้วถือเอาสังข์นั้นไป มนุษย์ปัจจันตชนบทพวกนั้น ได้พูดกันว่า

"ท่านทั้งหลาย นัยว่า... เมื่อใดสังข์นี้ประกอบด้วยคน ความพยายาม และลม… เมื่อนั้น สังข์นี้จึงจะออกเสียง  

แต่ว่าเมื่อใด สังข์นี้มิได้ประกอบด้วยคน ความพยายาม และลม … เมื่อนั้นสังข์นี้ไม่ออกเสียง"

เมื่อท่านพระกุมารกัสสปเล่าจบ ได้กล่าวต่อไปว่า

ฉันนั้นเหมือนกัน  บพิตร

เมื่อใด กายนี้ประกอบด้วยอายุ ไออุ่น และวิญญาณ

…เมื่อนั้น กายนี้ก้าวไปได้ ถอยกลับได้ ยืนได้ นั่งได้ สำเร็จการนอนได้ เห็นรูปด้วยนัยน์ตาได้ ฟังเสียงด้วยหูได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายได้ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจได้

แต่ว่าเมื่อใด กายนี้ไม่ประกอบด้วยอายุ ไออุ่น และวิญญาณ

…เมื่อนั้น กายนี้ก้าวไปไม่ได้ ถอยกลับไม่ได้  ยืนไม่ได้ นั่งไม่ได้ สำเร็จการนอนไม่ได้ เห็นรูปด้วยนัยน์ตาไม่ได้  ฟังเสียงด้วยหูไม่ได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกไม่ได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นไม่ได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายไม่ได้ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจไม่ได้         

ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่" 


“ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้นในปริยายนี้ ข้าพเจ้าก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”  

“ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี  เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ”   

“มีอยู่ ท่านกัสสป”  

อุปมาเด็กก่อไฟ

“เปรียบเหมือนอะไร บพิตร”  

“ดูกรท่านกัสสป บุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมา แสดงแก่ข้าพเจ้าว่า   

ข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด    

ข้าพเจ้าได้บอกบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า  

ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเชือดผิวหนังของบุรุษนี้ บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นบ้าง พวกเขาเชือดผิวหนังของบุรุษนั้น…พวกเรามิได้เห็นชีวะของเขาเลย

ข้าพเจ้าจึงบอกบุรุษพวกนั้นว่า

ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเชือดหนัง เฉือนเนื้อ ตัดเอ็น ตัดกระดูก ตัดเยื่อในกระดูกของบุรุษนี้ บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นบ้าง พวกเขาตัดเยื่อในกระดูกของบุรุษนั้น …พวกเรามิได้เห็นชีวะของเขาเลย

ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”  

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา  

ท่านพระกุมารกัสสปจึงเล่าว่า

เรื่องเคยมีมาแล้ว ชฏิลผู้บำเรอไฟผู้หนึ่ง อยู่ในกุฎีอันมุงบังด้วยใบไม้ ณ ที่ชายป่า ครั้งนั้น ชนบทแห่งหนึ่งเป็นที่พักของหมู่เกวียนอยู่ หมู่เกวียนนั้นพักอยู่ราตรีหนึ่งในที่ใกล้อาศรมชฎิลผู้บำเรอไฟนั้น แล้วจึงหลีกไป

ลำดับนั้น ชฎิลผู้บำเรอไฟนั้นมีความคิดขึ้นว่า

"ถ้ากระไร เราควรจะเข้าไปในที่ที่หมู่เกวียนนั้นพัก บางทีจะได้เครื่องอุปกรณ์อะไรในที่นั้นบ้าง"

ชฎิลผู้บำเรอไฟลุกขึ้นแต่เช้า เข้าไปยังที่ที่หมู่เกวียนนั้นพัก

ครั้นแล้ว ได้เห็นเด็กอ่อน ศีรษะโล้น เขาทิ้งนอนหงายไว้ที่ที่หมู่เกวียนนั้นพัก ครั้นเห็น ได้เกิดความคิดขึ้นว่า

"เมื่อเราพบเห็นอยู่ จะปล่อยให้มนุษย์ตายเสียนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย ถ้ากระไร เราควรจะนำทารกนี้ไปยังอาศรม แล้วเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้น"

ชฎิลผู้บำเรอไฟนำทารกนั้นไปยังอาศรม แล้วเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นแล้ว

เมื่อทารกนั้นอายุย่างเข้า ๑๐ปี หรือ ๑๒ ปี ชฎิลผู้บำเรอไฟ มีกรณียะบางอย่างในชนบทเกิดขึ้น เขาได้บอกทารกนั้นว่า 

"พ่อ เราปรารถนาจะไปยังชนบท เจ้าพึงบำเรอไฟ อย่าให้ไฟของเจ้าดับ

ถ้าไฟของเจ้าดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟแล้วบำเรอไฟเถิด"

เขาสั่งทารกนั้นอย่างนี้แล้ว ได้ไปยังชนบท

เมื่อทารกนั้นมัวเล่นเสีย ไฟดับแล้ว ทารกนั้นนึกขึ้นได้ว่า บิดาได้บอกเราไว้อย่างนี้ว่า... พ่อ เจ้าพึงบำเรอไฟ อย่าให้ไฟของเจ้าดับ ถ้าว่าไฟของเจ้าดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟแล้วบำเรอไฟเถิด

ทารกคิดว่า

"ถ้ากระไร เราควรจะก่อไฟแล้วบำเรอไฟ"

ทารกนั้นเอามีดถากไม้สีไฟ ด้วยเข้าใจว่า บางที จะพบไฟบ้าง… เขาไม่พบไฟเลย

จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก แล้วผ่าออกเป็น ๓ ซีก ๔ ซีก ๕ ซีก ๑๐ ซีก ๒๐ ซีก แล้วเกรียกให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ  ครั้นแล้ว จึงโขลกในครก ครั้นโขลกแล้วจึงโปรยในที่มีลมมาก ด้วยเข้าใจว่า บางที จะพบไฟบ้าง… เขาไม่พบไฟเลย

ลำดับนั้น ชฎิลผู้บำเรอไฟนั้นทำกรณียะในชนบทสำเร็จแล้ว จึงกลับมายังอาศรมของตน ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะทารก นั้นว่า 

"พ่อ ไฟของเจ้าดับเสียแล้วหรือ"

ทารกนั้นตอบว่า   

"ข้าแต่คุณพ่อ ขอประทานโทษเถิด กระผมมัวเล่นเสีย ไฟจึงดับ กระผมนึกขึ้นได้ว่าพ่อได้บอกเราไว้อย่างนี้ว่า

พ่อ เจ้าพึงบำเรอไฟ อย่าให้ไฟของเจ้าดับ ถ้าไฟของเจ้าดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟแล้วบำเรอไฟเถิด

กระผมคิดว่า ถ้ากระไร เราควรจะก่อไฟแล้วบำเรอ

ทีนั้น กระผมจึงเอามีดถากไม้สีไฟ ด้วยเข้าใจว่า บางที จะพบไฟบ้าง กระผมมิได้พบไฟเลย จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก แล้วผ่าออกเป็น ๓ ซีก ๔ ซีก ๕ ซีก ๑๐  ซีก ๒๐ ซีก แล้วเกรียกให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ครั้นแล้ว จึงโขลกในครก ครั้นโขลกแล้ว เอาโปรยในที่มีลมมากด้วยเข้าใจว่า บางที จะพบไฟบ้าง กระผมไม่พบไฟเลย"

ลำดับนั้น ชฎิลผู้บำเรอไฟนั้นได้มีความคิดว่า

"ทารกนี้ช่างโง่เหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม จักแสวงหาไฟโดยไม่ถูกทางได้อย่างไรกัน"

เมื่อทารกนั้นกำลังมองดูอยู่ ชฎิลนั้นหยิบไม้สีไฟมาสีให้เกิดไฟ แล้วได้บอกทารกนั้นว่า

เขาติดไฟกันอย่างนี้ ไม่เหมือนอย่างเจ้า…
ซึ่งยังเขลา ไม่เฉียบแหลม
แสวงหาไฟโดยไม่ถูกทาง

เมื่อท่านพระกุมารกัสสปเล่าจบ ได้กล่าวต่อไปว่า

ดูกรบพิตร
บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน…
ยังทรงเขลา ไม่เฉียบแหลม
ทรงแสวงหาปรโลกโดยไม่ถูกทาง

ขอบพิตร จงทรงสละคืนทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด
ขอบพิตร จงปล่อยวางทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด
ทิฐิอันลามกนั้น อย่าได้บังเกิดมีแก่บพิตร
...เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย”

“ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น...

ข้าพเจ้ายังหาอาจสละคืนทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่  พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้งหลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า

พญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้  มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี   

ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าจะสละคืนทิฐิอันลามกนี้ ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า...

พญาปายาสิ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด

ข้าพเจ้าก็จักยึดทิฐินั้นไว้
…เพราะความโกรธบ้าง  
…เพราะความลบหลู่บ้าง  
…เพราะความตีเสมอบ้าง”  

อุปมานายกองเกวียน ๒ คน

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา

ท่านพระกุมารกัสสปจึงเล่าว่า เรื่องเคยมีมาแล้ว 

พ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ มีเกวียนประมาณ ๑,๐๐๐ เล่ม ได้เดินทางจากชนบทอันตั้งอยู่ในบุรพทิศไปยังชนบทอันตั้งอยู่ในปัจจิมทิศ ที่ที่พ่อค้าเกวียนหมู่นั้นไป หญ้า ฟืน น้ำ ใบไม้สด หมดเปลืองไปโดยรวดเร็ว

ก็ในหมู่นั้น มีนายกองเกวียน ๒ คน คนหนึ่งมีพวกเกวียน ๕๐๐ เล่ม อีกคนหนึ่ง มีพวกเกวียน ๕๐๐ เล่ม นายกองเกวียน ๒ คน นั้นได้ปรึกษากันว่า 

"หมู่เกวียนหมู่ใหญ่นี้มีเกวียนประมาณ ๑,๐๐๐ เล่ม เมื่อพวกเราไปรวมกัน หญ้า ฟืน น้ำ ใบไม้สด หมดเปลืองไปโดยรวดเร็ว  

ถ้ากระไร พวกเราควรจะแยกหมู่เกวียนหมู่ใหญ่นี้ออกเป็น ๒ หมู่ คือ หมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม อีกหมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม"

พ่อค้าเกวียนเหล่านั้นแยกหมู่เกวียนนั้นออกเป็น ๒ หมู่แล้ว คือ หมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม อีกหมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม

นายกองเกวียนคนหนึ่งบรรทุกหญ้า ฟืน และน้ำเป็นอันมากแล้วขับหมู่เกวียนไปก่อน เมื่อขับไปได้ ๒-๓ วัน หมู่เกวียนนั้นได้เห็นบุรุษผิวดำ นัยน์ตาแดง ผูกสอดแล่งธนู ทัดดอกกุมุท มีผ้าเปียก ผมเปียก แล่นรถอันงดงาม มีล้อเปื้อนตมสวนทางมา  ครั้นแล้ว จึงได้ถามขึ้นว่า

"ดูกรท่าน ท่านมาจากไหน" 

บุรุษผิวดำตอบว่า

"ข้าพเจ้ามาจากชนบทโน้น"

"ท่านจะไปไหน" 

"ไปยังชนบทโน้น" 

"ในหนทางกันดารข้างหน้า ฝนตกมากหรือ"

"อย่างนั้นท่าน ในหนทางกันดารข้างหน้า ฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้า ฟืน และน้ำมีมาก ...พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่าเสียเถิด เกวียนเบาจากของหนัก จะไปได้รวดเร็ว วัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบาก"

ลำดับนั้น นายกองเกวียนเรียกพวกเกวียนมาบอกว่า

"บุรุษผู้นี้พูดว่า ในหนทางกันดารข้างหน้า ฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้า ฟืน และน้ำมีมาก ...พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน และน้ำของเก่าเสียเถิด เกวียนเบาจากของหนัก จะไปได้รวดเร็ว วัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบาก ดังนี้

พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน และน้ำของเก่าเสียเถิด จงขับหมู่เกวียนไปด้วยเกวียนเบาเถิด "

พวกเกวียนรับคำของนายกองเกวียน แล้วทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่า มีเกวียนเบาจากของหนัก ขับหมู่เกวียนไปแล้ว

พวกเกวียนเหล่านั้นมิได้เห็น หญ้า ฟืน หรือน้ำในที่พักหมู่เกวียนตำบลแรก  แม้ในที่พักหมู่เกวียนตำบลที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก แม้ในที่พักหมู่เกวียนตำบลที่เจ็ดก็มิได้เห็น

หญ้า ฟืน หรือน้ำ ถึงความวอดวายด้วยกันทั้งหมด มนุษย์หรือปศุสัตว์ที่อยู่ในหมู่เกวียนนั้น อมนุษย์กล่าวคือยักษ์กินเสียทั้งหมด เหลือแต่กระดูกเท่านั้น

เมื่อนายกองเกวียนพวกที่สอง รู้สึกว่า บัดนี้ หมู่เกวียนแรกนั้นออกไปนานแล้ว จึงบรรทุกหญ้า ฟืน และน้ำไปเป็นอันมาก แล้วขับหมู่เกวียนไป 

เมื่อขับไปได้สองสามวัน พวกเกวียนนั้นเห็นบุรุษผิวดำ นัยน์ตาแดง ผูกสอดแล่งธนู ทัดดอกกุมุท  มีผ้าเปียก ผมเปียก แล่นรถอันงดงามมีล้อเปื้อนตมสวนทางมา ครั้นแล้วจึงได้ถามขึ้นว่า

"ดูกรท่าน ท่านมาจากไหน" 

บุรุษผิวดำตอบว่า

"ข้าพเจ้ามาจากชนบทโน้น"

"ท่านจะไปไหน" 

"ไปยังชนบทโน้น" 

"ในหนทางกันดารข้างหน้า ฝนตกมากหรือ"

"อย่างนั้นท่าน ในหนทางกันดารข้างหน้า ฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้า ฟืน และน้ำมีมาก ...พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่าเสียเถิด เกวียนเบาจากของหนัก จะไปได้รวดเร็ว วัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบาก"

ลำดับนั้น นายกองเกวียนเรียกพวกเกวียนมาบอกว่า

"บุรุษผู้นี้พูดว่า ในหนทางกันดารข้างหน้า ฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ ทั้งหญ้า ฟืน และน้ำมีมาก ...พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่าเสียเถิด เกวียนเบาจากของหนักจักไปได้รวดเร็ว วัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบาก ดังนี้

ดูกรท่าน บุรุษนี้มิใช่มิตร มิใช่ญาติสาโลหิตของพวกเรา พวกเราจักเชื่อบุรุษนี้ได้อย่างไร

ท่านทั้งหลายไม่พึงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่าเสีย จงขับเกวียนไปพร้อมทั้งสิ่งของตามที่นำมาแล้วเถิด พวกเราจักไม่ทิ้งของเก่าของพวกเรา" 

พวกเกวียนรับคำนายกองเกวียนนั้นแล้ว ขับเกวียนไปพร้อมทั้งสิ่งของตามที่ได้นำมา

พวกเกวียนเหล่านั้นมิได้เห็นหญ้า ฟืน หรือน้ำในที่พักเกวียนตำบลแรก แม้ในที่พักเกวียนที่ตำบลที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ที่เจ็ด ก็มิได้เห็นหญ้า ฟืน หรือน้ำ ได้เห็นแต่หมู่เกวียนที่ได้ถึงความวอดวายเท่านั้น ได้เห็นแต่กระดูกของมนุษย์และปศุสัตว์ที่อยู่ในหมู่เกวียนนั้นเท่านั้น พวกนั้นถูกอมนุษย์คือยักษ์กินแล้ว

ลำดับนั้น นายกองเกวียนเรียกพวกเกวียนมาบอกว่า

"นี้คือหมู่เกวียนนั้น ได้ถึงแก่ความวอดวายแล้ว ทั้งนี้ เพราะนายกองเกวียนนั้นเป็นคนโง่เขลา"

ถ้าอย่างนั้น ในหมู่เกวียนของพวกเรา

สิ่งของชนิดใดมีสาระน้อย
...จงทิ้งเสียในหมู่เกวียนหมู่นี้ 
สิ่งของชนิดใดมีสาระมาก จงขนเอาไปเถิด"

พวกเกวียนพวกนั้นรับคำนายกองเกวียนนั้นแล้ว

จึงทิ้งสิ่งของชนิดมีสาระน้อยในเกวียนของตน ๆ ขนเอาไปแต่สิ่งของมีสาระมากในเกวียนหมู่นั้น ...ข้ามทางกันดารนั้นไปได้โดยสวัสดี ทั้งนี้ เพราะนายกองเกวียนนั้นเป็นคนฉลาด

เมื่อท่านพระกุมารกัสสปเล่าจบ ได้กล่าวต่อไปว่า

ดูกรบพิตร
บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ยังทรงเขลา ไม่เฉียบแหลม
ทรงแสวงหาปรโลกโดยไม่ถูกทาง
...จักถึงความวอดวาย
เหมือนบุรุษนายกองเกวียน ฉะนั้น

ชนเหล่าใด จักสำคัญทิฐิของบพิตรว่า
…เป็นสิ่งที่ควรฟัง ควรเชื่อถือ
แม้ชนเหล่านั้น ก็จักถึงความวอดวาย
เหมือนพ่อค้าเกวียนพวกนั้น ฉะนั้น

ขอบพิตร จงทรงสละคืนทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด
ขอบพิตร จงปล่อยวางทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด

ทิฐิอันลามกนั้น อย่าได้มีแก่บพิตร...
เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนานเลย” 

ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ยังหาอาจสละคืนทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่

พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้งหลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า

พญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า...

แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี
เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี  
ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าจะสละคืนทิฐิอันลามกนี้ ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า…

พญาปายาสิ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน
ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด

ข้าพเจ้าก็จักยึดทิฐินั้นไว้
…เพราะความโกรธบ้าง
…เพราะความลบหลู่บ้าง
…เพราะความตีเสมอบ้าง”  

อุปมาบุรุษทูนห่อคูถ

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้  บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา"

ท่านพระกุมารกัสสปจึงเล่าว่า เรื่องเคยมีมาแล้ว

บุรุษผู้เลี้ยงสุกรคนหนึ่งได้ออกจากบ้านของตนไปยังบ้านอื่น ได้เห็นคูถแห้ง (อุจจาระแห้ง) เป็นอันมากซึ่งเขาทิ้งไว้ในบ้านนั้น ครั้นแล้ว เขาได้มีความคิดขึ้นว่า

"คูถแห้งเป็นอันมากซึ่งเขาทิ้งไว้นี้ เป็นอาหารสุกรของเรา ...ถ้ากระไร เราควรขนคูถแห้งไปจากที่นี้"

เขาปูผ้าห่มลง แล้วโกยเอาคูถแห้งเป็นอันมาก แล้วผูกให้เป็นห่อทูนศีรษะเดินไป ในระหว่างทาง เขาถูกฝนใหญ่แล้ว เขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคูถตลอดถึงปลายเล็บ พาเอาห่อคูถซึ่งล้นไหลไปแล้ว

พวกมนุษย์เห็นเขาแล้วได้พูดอย่างนี้ว่า

"พนาย ...ท่านเป็นบ้าหรือเปล่า ท่านเสียจริตหรือหนอ ไฉนท่านจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยคูถตลอดถึงปลายเล็บ ...จักนำเอาห่อคูถซึ่งล้นไหลอยู่ไปทำไม"

บุรุษนั้นตอบว่า

"พนาย ในข้อนี้พวกท่านนั่นแหละเป็นบ้า พวกท่านเสียจริต ความจริง สิ่งนี้เป็นอาหารสุกรของเรา"

เมื่อท่านพระกุมารกัสสปเล่าจบ ได้กล่าวต่อไปว่า

"ดูกรบพิตร
บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน
น่าจะปรากฏเหมือนบุรุษผู้ทูนห่อคูถ

ขอบพิตร จงสละคืนทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด  
ขอบพิตร จงปล่อยวางทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด
ทิฐิอันลามกนั้น อย่าได้มีแก่บพิตร...
เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย” 

“ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ยังหาอาจสละคืนทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่

พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้งหลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า

พญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า… 

แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี
เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี
ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าจักสละคืนทิฐิอันลามกนี้

ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า...
พญาปายาสิช่างโง่เขลาเหลือเกิน
ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด

ข้าพเจ้าก็จักยึดทิฐินั้นไว้
…เพราะความโกรธบ้าง
…เพราะความลบหลู่บ้าง
…เพราะความตีเสมอบ้าง”  

อุปมานักเลงสกา

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร  บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา" 

ท่านพระกุมารกัสสปจึงเล่าว่า  

เรื่องเคยมีมาแล้ว นักเลงสกาสองคนเล่นสกากัน คนหนึ่งกลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้ว ๆ มาเสีย นักเลงสกาคนที่สองได้เห็นนักเลงสกานั้นกลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้ว ๆ มา ครั้นแล้วได้พูดว่า

“ดูกรสหาย ท่านชนะข้างเดียว ท่านจงให้ลูกสกาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักเซ่นบูชา"

นักเลงสกาคนนั้นรับคำแล้ว จึงมอบลูกสกาให้นักเลงสกานั้น 

ลำดับนั้น นักเลงสกาคนที่สอง เอายาพิษทาลูกสกา แล้วพูดกะนักเลงสกาคนที่หนึ่งว่า

“มาเถิดสหาย เรามาเล่นสกากัน"

นักเลงสกาคนที่หนึ่งรับคำนักเลงสกาคนที่สองแล้ว นักเลงสกาเหล่านั้นเล่นสกากันเป็นครั้งที่สอง

แม้ในครั้งที่สอง นักเลงสกาคนที่หนึ่งก็กลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้ว ๆ มาเสีย

นักเลงสกาคนที่สองได้เห็นนักเลงสกาคนกลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้ว ๆ มา แม้ครั้งที่สอง ครั้นแล้ว ได้พูดว่า

“บุรุษกลืนกินลูกสกาซึ่งอาบด้วยยาพิษ มีฤทธิ์กล้า ...ยังหารู้สึกไม่ นักเลงชั่วเลวผู้น่าสงสาร กลืนยาพิษเข้าไป ความเร่าร้อนจักมีแก่ท่าน“

เมื่อท่านพระกุมารกัสสปเล่าจบ ได้กล่าวต่อว่า

“ดูกรบพิตร บพิตรก็อย่างนั้นเหมือนกัน น่าจะปรากฏเหมือนนักเลงสกา

ขอบพิตรจงทรงสละคืนทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด
ขอบพิตรจงทรงปล่อยวางทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด
ทิฐิอันลามกนั้น อย่าได้มีแก่บพิตร...
เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย”  

“ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ยังหาอาจสละคืนทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่

พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้งหลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า

พญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า…

แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี

ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าจักสละคืนทิฐิอันลามกนี้

ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า…
พญาปายาสิช่างโง่เขลาเหลือเกิน
ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด

ข้าพเจ้าก็จักยึดทิฐินั้นไว้
…เพราะความโกรธบ้าง
…เพราะความลบหลู่บ้าง
…เพราะความตีเสมอบ้าง”  

อุปมาสหาย ๒ คน แสวงหาทรัพย์

“ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา"

ท่านพระกุมารกัสสปจึงเล่าว่า

เรื่องเคยมีมาแล้ว ชนบทแห่งหนึ่งตั้งขึ้นแล้ว ครั้งนั้น สหายผู้หนึ่งเรียกสหายมาบอกว่า

“มาไปกันเถิดเพื่อน เราจักเข้าไปยังชนบทนั้น บางที จะพึงได้ทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งในชนบทนั้นบ้าง"

สหายคนที่สองรับคำของสหายคนที่หนึ่งแล้ว เขาทั้งสองเข้าไปยังชนบท ถึงถนนในบ้านแห่งหนึ่งแล้ว ได้เห็นเปลือกป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายที่ตำบลบ้านนั้น

ครั้นแล้ว สหายคนที่หนึ่งได้บอกสหายคนที่สองว่า

“สหาย นี้เปลือกป่านเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงผูกเอาเปลือกป่านไปมัดหนึ่ง และฉันจักผูกเอาเปลือกป่านไปมัดหนึ่ง เราทั้งสองจักถือเอามัดเปลือกป่านไป"

สหายคนที่สองรับคำสหายคนที่หนึ่งแล้ว ผูกเอาเปลือกป่านไปมัดหนึ่ง สหายทั้งสองนั้นถือเอามัดเปลือกป่านเข้าไปมัดหนึ่ง สหายทั้งสองนั้นถือเอามัดเปลือกป่านเข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นด้ายป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายในตำบลบ้านนั้น

ครั้นแล้ว สหายคนที่หนึ่งจึงบอกสหายคนที่สองว่า

“สหาย เราจะปรารถนาเปลือกป่านเพื่อประโยชน์อันใด นี้ด้ายป่านซึ่งเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด และฉันก็จักทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย เราทั้งสองจักถือเอามัดด้ายป่านไป"

สหายคนที่สองตอบว่า

"สหาย มัดเปลือกป่านนี้ เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ขอท่านจงทราบเถิด"

ลำดับนั้น สหายคนที่หนึ่งทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย แล้วถือเอามัดด้ายป่านไป

สหายทั้งสองนั้นเข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นผ้าป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายที่ตำบลบ้านนั้น

ครั้นแล้ว สหายคนที่หนึ่งบอกสหายคนที่สองว่า

“สหาย เราจะปรารถนาเปลือกป่านหรือด้ายป่านเพื่อประโยชน์อันใด เหล่านี้ ผ้าป่านซึ่งเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด และฉันก็จักทิ้งมัดด้ายป่านเสีย เราทั้งสองจักถือเอามัดผ้าป่านไป"

สหายคนที่สองตอบว่า

“สหาย มัดเปลือกป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ขอท่านจงทราบเถิด"

ลำดับนั้น สหายคนที่หนึ่งนั้น ทิ้งมัดด้ายป่านแล้ว ถือมัดผ้าป่านไป

สหายทั้งสองนั้นเข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นเปลือกไม้โขมะ ได้เห็นด้ายเปลือกไม้โขมะ ได้เห็นผ้าเปลือกไม้โขมะ ได้เห็นลูกฝ้าย ได้เห็นด้ายฝ้าย ได้เห็นผ้าฝ้าย ได้เห็นเหล็ก ได้เห็นโลหะ ได้เห็นดีบุก ได้เห็นสำริด ได้เห็นเงิน ได้เห็นทอง ที่เขาทิ้งไว้มากมายในถนนในบ้านนั้น

ครั้นแล้วสหายคนที่หนึ่งจึงบอกสหายคนที่สองว่า

“สหาย เราจะปรารถนาประโยชน์อันใดกับเปลือกป่านหรือด้ายป่าน หรือผ้าป่าน หรือเปลือกไม้โขมะ หรือด้ายเปลือกไม้โขมะ หรือผ้าเปลือกไม้โขมะ หรือลูกฝ้าย หรือด้ายฝ้าย หรือผ้าฝ้าย หรือเหล็ก หรือโลหะ หรือดีบุก หรือสำริด หรือเงิน

นี้ ทองที่เขาทิ้งไว้มากมาย

ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด และฉันก็จักทิ้งห่อเงินเสีย เราทั้งสองจักถือเอาห่อทองไป"

สหายคนที่สองตอบว่า

“สหาย มัดเปลือกป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ...ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย  เราไม่เอาละ ขอท่านจงทราบเถิด"

ลำดับนั้น สหายนั้นทิ้งห่อเงิน ถือเอาห่อทองไป

สหายทั้งสองนั้นเข้าไปยังบ้านของตน ๆ แล้ว ในเขาทั้งสองนั้น

สหายผู้ถือเอามัดเปลือกป่านไป มารดา บิดา บุตร ภริยา มิตรอำมาตย์ หาได้พากันยินดีไม่

...และเขาไม่ได้รับความสุขโสมนัส ซึ่งเกิดจากเหตุที่ได้จากเปลือกป่านนั้นมา  

ส่วนสหายที่ถือเอาห่อทองไปนั้น มารดา บิดา บุตร ภริยา มิตร อำมาตย์ พากันยินดี

และเขายังได้รับความสุขโสมนัส ซึ่งเกิดจากเหตุที่ถือเอาห่อทองนั้นมา  

เมื่อท่านพระกุมารกัสสปเล่าจบ ได้กล่าวต่อไปว่า

 "ดูกรบพิตร บพิตรก็อย่างนั้นเหมือนกัน
น่าจะปรากฏเหมือนบุรุษผู้ถือ มัดเปลือกป่าน


ขอบพิตร จงทรงสละคืนทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ขอบพิตร จงทรงปล่อยวางทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร... เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย”

เจ้าปายาสิประกาศตนเป็นอุบาสก

“ด้วยข้อความอุปมาข้อก่อน ๆ ของท่านกัสสป ข้าพเจ้าก็มีความพอใจยินดียิ่งแล้ว แต่ว่าข้าพเจ้าใคร่จะฟังปฏิภาณในการแก้ปัญหาที่วิจิตรเหล่านี้ จึงพยายามโต้แย้งคัดค้านท่านกัสสปอย่างนั้น

ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก

เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด

ท่านกัสสปประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ข้าพเจ้านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคผู้โคดม พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ

ขอท่านกัสสป จงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป  

ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ข้าพเจ้าปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงชี้แจงวิธีบูชายัญอันจะเป็นประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าตลอดกาลนาน”

ยัญที่มีผลมาก

“ดูกรบพิตร ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ต่าง ๆ ต้องได้รับความพินาศ

และปฏิคาหก (ผู้รับทานหรือของถวาย) เป็นผู้มีความเห็นผิด …ดำริผิด …เจรจาผิด …การงานผิด …เลี้ยงชีพผิด …พยายามผิด …ระลึกผิด …ตั้งใจผิด เช่นนี้

ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่ ไม่มีความรุ่งเรืองใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่  

เปรียบเหมือนชาวนาถือเอาพืชและไถไปสู่ป่า เขาพึงหว่านพืชที่หักที่เสีย ถูกลมและแดดแผดเผาแล้ว  อันไม่มีแก่น ยังไม่แห้งสนิท ลงในนาไร่อันเลว ซึ่งเป็นพื้นที่ไม่ดี มิได้แผ้วถางตอและหนามให้หมด ทั้งฝนก็มิได้ตกชะเชยโดยชอบตามฤดูกาล

พืชเหล่านั้น จะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์หรือหนอ ชาวนาจะพึงได้รับ ผลอันไพบูลย์หรือ”  

“หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านกัสสป”  

“ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตร ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่า สัตว์ต่าง ๆ ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นผิด ดำริผิด เจรจาผิด การงานผิดเลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด เช่นนี้ ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่ ไม่มีความรุ่งเรืองใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่”  

“ดูกรบพิตร ส่วนยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ ต่าง ๆ ไม่ต้องถึงความพินาศ

และปฏิคาหกก็เป็น …ผู้มีความเห็นชอบ …ดำริชอบ …เจรจาชอบ …การงานชอบ …เลี้ยงชีพชอบ …พยายามชอบ …ระลึกชอบ …ตั้งใจชอบ เช่นนี้

ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่หลายใหญ่

เปรียบเหมือนชาวนาถือเอาพืชและไถไปสู่ป่า เขาพึงหว่านพืชที่ไม่หักไม่เสีย ไม่ถูกลมแดดแผดเผา อันมีแก่น แห้งสนิท ลงในนาไร่อันดี เป็นพื้นที่ดี แผ้วถางตอและหนามหมดดีแล้ว ทั้งฝนก็ตกชะเชยโดยชอบตามฤดูกาล

พืชเหล่านั้น จะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์หรือหนอ ชาวนาจะพึงได้รับผลอันไพบูลย์หรือ”

“เป็นอย่างนั้น ท่านกัสสป”


“ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตร ...ยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ต่าง ๆ ไม่ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ เช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่หลายใหญ่”

เจ้าปายาสิให้ทาน

ลำดับนั้น เจ้าปายาสิเริ่มให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า  คนเดินทาง วณิพกและยาจกทั้งหลาย

แต่ในทานนั้น เธอได้ให้โภชนะเห็นปานนี้  คือ ปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับข้าว และได้ให้ผ้าเนื้อหยาบมีชายขอดเป็นปม ๆ

และมาณพ ชื่ออุตตระ เป็นเจ้าหน้าที่ในทานนั้น เขาให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ว่า 

"ด้วยทานนี้
ขอให้ข้าพเจ้าร่วมกับเจ้าปายาสิในโลกนี้เท่านั้น
…อย่าได้ร่วมกันในโลกหน้าเลย"

เจ้าปายาสิได้ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว รับสั่งให้เรียกอุตตรมาณพมา แล้วได้ตรัสว่า

“พ่ออุตตระ ได้ยินว่า เธอให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ทุกครั้งว่า

ด้วยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าร่วมกับเจ้าปายาสิในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้ร่วมกันในโลกหน้าเลย ดังนี้หรือ”

อุตตระมาณพทูลตอบว่า

“อย่างนั้นพระองค์”  

“พ่ออุตตระ ก็เพราะเหตุไรเธอให้ทานแล้วจึงอุทิศอย่างนั้นเล่า

พ่ออุตตระ พวกเราต้องการบุญ หวังผลแห่งทานแท้ ๆ มิใช่หรือ”

“ในทานของพระองค์ ให้โภชนะเห็นปานนี้ คือปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับข้าว พระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้องแม้ด้วยพระบาท ...ไฉนจะทรงบริโภค 

อนึ่งเล่า ผ้าก็เนื้อหยาบมีชายขอดเป็นปม ๆ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้องแม้ด้วยพระบาท …ไฉนจะทรงนุ่งห่ม  

พระองค์เป็นที่รักเป็นที่พอใจของพวกข้าพระพุทธเจ้า พวกข้าพระพุทธเจ้าจะชักจูงผู้ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่พอใจไปด้วยสิ่งไม่เป็นที่พอใจอย่างไรได้”

“พ่ออุตตระ ถ้าอย่างนั้น เราบริโภคโภชนะชนิดใด เธอจงเริ่มตั้งไว้ซึ่งโภชนะชนิดนั้นเป็นทาน

เรานุ่งห่มผ้าชนิดใด เธอจงเริ่มตั้งไว้ซึ่งผ้าชนิดนั้นเป็นทาน"

อุตตรมาณพรับพระดำรัสเจ้าปายาสิแล้ว เริ่มตั้งไว้ซึ่งโภชนะชนิดที่เจ้าปายาสิเสวย และเริ่มตั้งไว้ซึ่งผ้าชนิดที่เจ้าปายาสิทรงนุ่งห่ม

ผลแห่งทานของเจ้าปายาสิ

เพราะเหตุที่เจ้าปายาสิ

…มิได้ทรงให้ทานโดยเคารพ
…มิได้ทรงให้ทานด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง
…มิได้ทรงให้ทานโดยความนอบน้อม
...ทรงให้ทานอย่างทิ้งให้

ครั้นสิ้นพระชนม์แล้ว เข้าถึงความเป็นสหายกับพวกเทพชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมานชื่อเสรีสกะ อันว่างเปล่า

ส่วนอุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น

…ให้ทานโดยเคารพ
…ให้ทานด้วยมือของตน
…ให้ทานโดยความนอบน้อม 
...มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้

เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คือถึงความเป็นสหายกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์  

ก็โดยสมัยนั้น ท่านพระควัมปติเถระไปพักกลางวันยังเสรีสกะวิมานอันว่างเปล่าเนือง ๆ ลำดับนั้น ปายาสิเทวบุตรเข้าไปหาท่านควัมปติถึงที่อยู่ แล้วอภิวาท ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ท่านควัมปติได้กล่าวถามปายาสิเทวบุตรว่า

“ท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร”  

ปายาสิเทวบุตร ตอบว่า

“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าคือเจ้าปายาสิ”

“ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี  เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มิใช่หรือ”  

“เป็นความจริงท่านผู้เจริญ

ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

แต่ว่าพระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสปได้ไถ่ถอนข้าพเจ้าออกจากทิฐิอันลามกนั้นแล้ว”  

“ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของท่านไปเกิดที่ไหน”  

“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของข้าพเจ้านั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้

เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์

ส่วนข้าพเจ้ามิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือของตน มิได้ให้ทานด้วยความนอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้

เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ก็เข้าถึงซึ่งความอยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมานชื่อเสรีสกะ อันว่างเปล่า   

ท่านควัมปติผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านไปยังมนุษยโลกแล้ว โปรดบอกอย่างนี้ว่า

ท่านทั้งหลาย…
จงให้ทานโดยเคารพ
จงให้ทานด้วยมือของตน
จงให้ทานโดยความนอบน้อม
จงอย่าให้ทานอย่างทิ้งให้

เจ้าปายาสิ มิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือของตน มิได้ให้ทานโดยความนอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงความอยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมานชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า

ส่วนอุตตรมาณพ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์”  

ลำดับนั้น ท่านควัมปติมาสู่มนุษยโลกแล้ว ได้บอกอย่างนี้ว่า


“ท่านทั้งหลาย จงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานด้วยมือของตน จงให้ทานโดยความนอบน้อม จงอย่าให้ทานอย่างทิ้งให้"

เจ้าปายาสิ มิได้ให้ทานโดยเคารพ  มิได้ให้ทานด้วยมือของตน มิได้ให้ทานโดยความนอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงความอยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมานชื่อเสรีสกะ อันว่างเปล่า 

ส่วนอุตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดยความเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์ 

 

 

อ้างอิง : ปายาสิราชัญญสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ ข้อที่ ๓๐๑-๓๓๐ หน้า ๒๓๔-๒๖๐