ทีฆชาณุสูตร - ธรรมเพื่อประโยชน์สุขของผู้ครองเรือน



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมแห่งชาวโกฬิยะ ชื่อกักกรปัตตะ ใกล้เมืองโกฬิยะ ครั้งนั้นแล โกฬิยบุตรชื่อทีฆชาณุ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์ ยังบริโภคกามอยู่ ครองเรือน นอนเบียดบุตร ใช้จันทน์ ในแคว้นกาสี ยังทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีเงินและทองอยู่


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมที่เหมาะแก่ข้าพระองค์ อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในภายหน้าเถิด”

ธรรม ๔ ประการเพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบัน

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

“ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร

๔ ประการเป็นไฉน คือ

อุฏฐานสัมปทา ๑
อารักขสัมปทา ๑
กัลยาณมิตตตา ๑
สมชีวิตา ๑   

“ดูกรพยัคฆปัชชะ

ก็อุฏฐานสัมปทาเป็นไฉน

กุลบุตรในโลกนี้ เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน คือ กสิกรรมพาณิชยกรรม โครักขกรรม รับราชการฝ่ายทหาร รับราชการฝ่ายพลเรือน หรือศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง

เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น
ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่อง
อันเป็นอุบายในการงานนั้น สามารถจัดทำได้

นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา 

ก็อารักขสัมปทาเป็นไฉน

กุลบุตรในโลกนี้ มีโภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมด้วยกำลังแขนมีเหงื่อโทรมตัว ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม

เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล ด้วยทำไว้ในใจว่า

ไฉนหนอ
พระราชาไม่พึงบริโภคทรัพย์เหล่านี้ของเรา
โจรไม่พึงลัก ไฟไม่พึงไหม้ น้ำไม่พึงพัดไป
ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักจะไม่พึงลักไป

นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา

ก็กัลยาณมิตตตาเป็นไฉน 

กุลบุตรในโลกนี้ อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจาสังสนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น

ซึ่งเป็นคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี
เป็นคนหนุ่มหรือคนแก่…

ผู้มีสมาจารบริสุทธิ์
ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

ศึกษาศรัทธาสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
ศึกษาศีลสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยศีล  
ศึกษาจาคสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ
ศึกษาปัญญาสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา

นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา  

ก็สมชีวิตาเป็นไฉน 

กุลบุตรในโลกนี้ รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า

รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้

เปรียบเหมือนคนชั่งตราชั่งหรือลูกมือคนชั่งตราชั่ง ยกตราชั่งขึ้นแล้ว ย่อมลดออกเท่านี้หรือต้องเพิ่มเข้าเท่านี้ ฉันใด

กุลบุตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนักด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่ายและรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้

“ดูกรพยัคฆปัชชะ

ถ้ากุลบุตรผู้นี้มีรายได้น้อย...
แต่เลี้ยงชีวิตอย่างโอ่โถง
จะมีผู้ว่าเขาว่ากุลบุตรผู้นี้ ...
ใช้โภคทรัพย์เหมือนคนเคี้ยวกินผลมะเดื่อ ฉะนั้น

ก็ถ้ากุลบุตรผู้ที่มีรายได้มาก...
แต่เลี้ยงชีพอย่างฝืดเคือง
จะมีผู้ว่าเขาว่ากุลบุตรผู้นี้ จักตายอย่างอนาถา

แต่เพราะกุลบุตรผู้นี้
รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์

แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ
ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก
ด้วยคิดว่ารายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย
และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้

นี้เรียกว่า สมชีวิตา

ทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ ๔ ประการ

ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ

เป็นนักเลงหญิง ๑
เป็นนักเลงสุรา ๑
เป็นนักเลงการพนัน ๑
มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ๑

เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง ทางไหลออก ๔ ทาง บุรุษพึงปิดทางไหลเข้า เปิดทางไหลออกของสระนั้น ฝนก็มิตกต้องตามฤดูกาล

ด้วยประการฉะนี้ สระน้ำใหญ่นั้น พึงหวังความเสื่อมอย่างเดียวไม่มีความเจริญเลย ฉันใด

โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ

เป็นนักเลงหญิง ๑
เป็นนักเลงสุรา ๑
เป็นนักเลงการพนัน ๑
มีมิตรชั่วสหายชั่วเพื่อนชั่ว ๑          
         

ทางเจริญแห่งโภคทรัพย์ ๔ ประการ

ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ

ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑
ไม่เป็นนักเลงสุรา ๑
ไม่เป็นนักเลงการพนัน ๑
มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ๑      

ดูกร พยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทางไหลออก ๔ ทาง บุรุษพึงเปิดทางไหลเข้า ปิดทางไหลออกของสระนั้น ทั้งฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล

ด้วยประการฉะนี้ สระน้ำใหญ่นั้น พึงหวังความเจริญอย่างเดียวไม่มีเสื่อม ฉันใด

โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ

ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑
ไม่เป็นนักเลงสุรา ๑
ไม่เป็นนักเลงการพนัน ๑
มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ๑   

ดูกรพยัคฆปัชชะ  ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร  

ธรรม ๔ ประการเพื่อประโยชน์สุขในภายหน้า

ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร 

ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

สัทธาสัมปทา ๑
สีลสัมปทา ๑
จาคสัมปทา ๑
ปัญญาสัมปทา ๑

ก็สัทธาสัมปทาเป็นไฉน

กุลบุตรในโลกนี้ มีศรัทธา คือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า

แม้เพราะเหตุนี้ ๆ…
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม

นี้เรียกว่า สัทธาสัมปทา 

สีลสัมปทาเป็นไฉน

กุลบุตรในโลกนี้

เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต
เป็นผู้งดเว้นจากอทินนาทาน 
เป็นผู้งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร 
เป็นผู้งดเว้นจากมุสาวาท

เป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา
คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

นี้เรียกว่า สีลสัมปทา 

ก็จาคสัมปทาเป็นไฉน

กุลบุตรในโลกนี้

มีจิตปราศจากมลทิน...
คือ ความตระหนี่อยู่ครองเรือน

มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามือชุ่ม
ยินดีในการสละควรแก่การขอ
ยินดีในการจำแนกทาน

นี้เรียกว่า จาคสัมปทา

ดูกรพยัคฆปัชชะ

ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน  

กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้มีปัญญา คือ

ประกอบด้วยปัญญา...
ที่เห็นความเกิดและความดับ เป็นอริยะ
ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ

นี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา

ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร 

คนหมั่นในการทำงาน
ไม่ประมาท จัดการงานเหมาะสม
เลี้ยงชีพพอเหมาะ

รักษาทรัพย์ที่หามาได้ 

มีศรัทธา
ถึงพร้อมด้วยศีล
รู้ถ้อยคำ
ปราศจากความตระหนี่…
ชำระทางสัมปรายิกประโยชน์เป็นนิตย์


ธรรม ๘ ประการ ดังกล่าวนี้ของผู้ครองเรือนผู้มีศรัทธา อันพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามอันแท้จริง ตรัสว่า นำสุขมาให้ในโลกทั้งสอง คือ ประโยชน์ในปัจจุบันนี้และความสุขในภายหน้า

บุญ คือ จาคะนี้ ย่อมเจริญแก่คฤหัสถ์ด้วยประการฉะนี้ 

 

 

อ้างอิง : ทีฆชาณุสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อ [๑๔๔] หน้า ๒๒๒-๒๒๕