พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย ใคร ๆ รู้ไม่ได้ ทั้งลำบาก ทั้งน้อย และประกอบด้วยทุกข์
สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดแล้ว จะไม่ตายด้วยความพยายามอันใด ...ความพยายามอันนั้น ไม่มีเลย
แม้อยู่ได้ถึงชรา ก็ต้องตาย เพราะสัตว์ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา
ผลไม้สุกงอมแล้ว ชื่อว่า ย่อมมีภัย
เพราะจะต้องร่วงหล่นไปในเวลาเช้า ฉันใด
สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดแล้ว ชื่อว่า ย่อมมีภัย
เพราะจะต้องตายเป็นนิตย์ ฉันนั้น
ภาชนะดินที่นายช่างทำแล้วทุกชนิด มีความแตกเป็นที่สุด แม้ฉันใด
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น
...ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจของมฤตยู มีมฤตยูเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ด้วยกันทั้งหมด
เมื่อสัตว์เหล่านั้น…
ถูกมฤตยูครอบงำแล้ว ต้องไปปรโลก
บิดาจะป้องกันบุตรไว้ก็ไม่ได้
หรือพวกญาติจะป้องกันพวกญาติไว้ก็ไม่ได้
ท่านจงเห็นเหมือนเมื่อหมู่ญาติของสัตว์ทั้งหลายผู้จะต้องตาย กำลังแลดู รำพันอยู่โดยประการต่าง ๆ
สัตว์ผู้จะต้องตายผู้เดียวเท่านั้น ถูกมฤตยูนำไป เหมือนโคที่บุคคลจะพึงฆ่าถูกนำไปตัวเดียว ฉะนั้น
ความตายและความแก่ กำจัดสัตว์โลกอยู่อย่างนี้
เพราะเหตุนั้น นักปราชญ์ทั้งหลาย...
ทราบชัดสภาพของโลกแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก
ท่านย่อมไม่รู้ทางของผู้มาหรือผู้ไป
ไม่เห็นที่สุดทั้งสองอย่าง
ถึงจะคร่ำครวญไป ก็ไร้ประโยชน์
ถ้าผู้คร่ำครวญ หลงเบียดเบียนตนอยู่
จะยังประโยชน์อะไร ๆ ให้เกิดขึ้นได้ไซร้...
บัณฑิตผู้เห็นแจ้ง ก็พึงกระทำความคร่ำครวญนั้น
บุคคลจะถึงความสงบใจได้ เพราะการร้องไห้ เพราะความเศร้าโศก ...ก็หาไม่
ทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้นยิ่งขึ้น และสรีระของผู้นั้นก็จะซูบซีด บุคคลผู้เบียดเบียนตนเอง ย่อมเป็นผู้ซูบผอม มีผิวพรรณเศร้าหมอง
สัตว์ทั้งหลายผู้ละไปแล้ว ย่อมรักษาตนไม่ได้ด้วยความรำพันนั้น การรำพันไร้ประโยชน์
คนผู้ทอดถอนถึงบุคคลผู้ทำกาละแล้ว ยังละความเศร้าโศกไม่ได้ ตกอยู่ในอำนาจแห่งความเศร้าโศก ย่อมถึงทุกข์ยิ่งขึ้น
ท่านจงเห็นคนแม้เหล่าอื่น ผู้เตรียมจะดำเนินไปตามยถากรรม (และ) สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ผู้มาถึงอำนาจแห่งมัจจุแล้ว กำลังพากันดิ้นรนอยู่ทีเดียว
ก็สัตว์ทั้งหลายย่อมสำคัญด้วยอาการใด ๆ อาการนั้น ๆ ย่อมแปรเป็นอย่างอื่นไปในภายหลัง ความพลัดพรากกันเช่นนี้ ย่อมมีได้
ท่านจงดูสภาพแห่งโลกเถิด มาณพ แม้จะพึงเป็นอยู่ร้อยปีหรือยิ่งกว่านั้น ก็ต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ ต้องละทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้
เพราะเหตุนั้น บุคคลฟังพระธรรมเทศนาของพระอรหันต์แล้ว เห็นคนผู้ล่วงลับทำกาละแล้ว กำหนดรู้อยู่ว่า... บุคคลผู้ล่วงลับทำกาละแล้วนั้น เราไม่พึงได้ว่า จงเป็นอยู่อีกเถิด ดังนี้ พึงกำจัดความรำพันเสีย
บุคคลพึงดับไฟที่ไหม้ลุกลามไปด้วยน้ำ ฉันใด
นรชนผู้เป็นนักปราชญ์ มีปัญญา เฉลียวฉลาด
พึงกำจัดความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเสีย ...
โดยฉับพลัน เหมือนลมพัดนุ่น ฉันนั้น
คนผู้แสวงหาความสุขเพื่อตน
พึงกำจัดความรำพัน ...
ความทะยานอยากและความโทมนัสของตน
พึงถอนลูกศร คือกิเลสของตนเสีย
เป็นผู้มีลูกศร คือกิเลสอันถอนขึ้นแล้ว
อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว
...ถึงความสงบใจ
ก้าวล่วงความเศร้าโศกได้ทั้งหมด
เป็นผู้ไม่มีความเศร้าโศก เยือกเย็น ฉะนี้แล
อ้างอิง : สัลลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๓๘๐ หน้า ๓๓๕-๓๓๖
ภาพประกอบ
www.pixabay.com