สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเรือน ๒ หลัง มีประตูตรงกัน บุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ระหว่างกลางเรือน ๒ หลังนั้น
พึงเห็นมนุษย์กำลังเข้าเรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังเดินมาบ้าง กำลังเดินไปบ้าง ฉันใด
ฉันนั้นเหมือนกันแล
เราย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมทราบชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ได้ว่า
ผู้ประพฤติสุจริต
สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ
เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ก็มี
เมื่อตายไปแล้ว บังเกิดในหมู่มนุษย์ก็มี
ผู้ประพฤติทุจริต
สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ
เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงเปรตวิสัยก็มี
เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานก็มี
เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกก็มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะจับสัตว์นั้นที่ส่วนต่าง ๆ ของแขน ไปแสดงแก่พญายมว่า
“ขอเดชะ คนผู้นี้ไม่เกื้อกูลมารดา ไม่เกื้อกูลบิดา ไม่เกื้อกูลสมณะ ไม่เกื้อกูลพราหมณ์ และไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ขอจงลงโทษคนผู้นี้เถิด”
เทวทูตที่ ๑
พญายมสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวทูตที่ ๑ ว่า
“เจ้าไม่เคยเห็นเทวทูตที่ ๑ ปรากฏในหมู่มนุษย์บ้างหรือ”
“ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“ในหมู่มนุษย์ เด็กเล็กผู้ยังอ่อน นอนหงาย กลิ้งเกลือกอยู่ในปัสสาวะและอุจจาระของตน เจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ”
“เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“เจ้านั้นเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้หรือว่า ถึงตัวเราก็มีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้ เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ”
“ไม่เคยคิด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า”
เทวทูตที่ ๒
พญายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวทูตที่ ๑ แล้ว จึงสอบสวน ซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่ ๒ ว่า
“เจ้าไม่เคยเห็นเทวทูตที่ ๒ ปรากฏในหมู่มนุษย์บ้างหรือ”
“ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“ในหมู่มนุษย์ สตรีหรือบุรุษมีอายุ ๘๐ ปี... ๙๐ ปี... หรือ ๑๐๐ ปี เป็นคนชรา มีซี่โครงคด หลังโก่ง หลังค่อม ถือไม้เท้า เดินงก ๆ เงิ่น ๆ เก้ ๆ กัง ๆ หมดความเป็นหนุ่มสาว ฟันหัก ผมหงอก ศีรษะล้าน หนังเหี่ยว ตัวตกกระ เจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ”
“เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“เจ้านั้นเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้หรือว่า ถึงตัวเราก็มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ”
“ไม่เคยคิด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า”
เทวทูตที่ ๓
พญายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวทูตที่ ๒ แล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่ ๓ ว่า
“เจ้าไม่เคยเห็นเทวทูตที่ ๓ ปรากฏในหมู่มนุษย์บ้างหรือ”
“ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“ในหมู่มนุษย์ สตรีหรือบุรุษเจ็บป่วย ประสบทุกข์ เป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ในปัสสาวะและอุจจาระของตน ผู้อื่นต้องช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ช่วยป้อนอาหาร เจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ”
“เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“เจ้านั้นเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้หรือว่า ถึงตัวเราก็มีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ”
“ไม่เคยคิด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า”
เทวทูตที่ ๔
พญายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวทูตที่ ๓ แล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่ ๔ ว่า
“เจ้าไม่เคยเห็นเทวทูตที่ ๔ ปรากฏในหมู่มนุษย์บ้างหรือ”
“ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“ในหมู่มนุษย์ พระราชารับสั่งให้จับโจรผู้ประพฤติผิดมา แล้วลงอาญาด้วยประการต่าง ๆ คือ
ให้เฆี่ยนด้วยแส้บ้าง ด้วยหวายบ้าง ให้ตีด้วยไม้พลองบ้าง ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง ตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบหูและจมูกบ้าง
วางก้อนเหล็กแดงบนศีรษะบ้าง ถลกหนังศีรษะแล้วขัดให้ขาวเหมือนสังข์บ้าง
เอาไฟยัดปากจนเลือดไหลเหมือนปากราหูบ้าง เอาผ้าพันตัวราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาบ้าง พันมือแล้วจุดไฟต่างคบบ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอถึงข้อเท้า ให้ลุกเดินเหยียบหนังจนล้มลงบ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอถึงบั้นเอว ทำให้มองดูเหมือนนุ่งผ้าคากรองบ้าง
สวมปลอกเหล็กที่ข้อศอกและเข่า แล้วเสียบหลาวทั้ง ๕ ทิศ เอาไฟเผาบ้าง ใช้เบ็ดเกี่ยวหนัง เนื้อ เอ็น ออกมาบ้าง เฉือนเนื้อออกเป็นแว่น ๆ เหมือนเหรียญกษาปณ์บ้าง เฉือนหนัง เนื้อ เอ็นออก เหลือไว้แต่กระดูกบ้าง ใช้หลาวแทงช่องหูให้ทะลุถึงกันบ้าง เสียบให้ติดดิน แล้วจับเขาหมุนได้รอบบ้าง ทุบกระดูกให้แหลกแล้วถลกหนังออกเหลือไว้แต่กองเนื้อเหมือนตั่งใบไม้บ้าง
รดตัวด้วยน้ำมันที่กำลังเดือดพล่านบ้าง ให้สุนัขกัดกินจนเหลือแต่กระดูกบ้าง ให้นอนบนหลาวทั้งเป็นบ้าง ตัดศีรษะออกด้วยดาบบ้าง
เจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ”
“เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“เจ้านั้นเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้หรือว่า ได้ยินว่าสัตว์ผู้ทำบาปกรรมไว้เหล่านั้น จะถูกลงอาญาด้วยประการต่าง ๆ เห็นปานนี้ในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงชาติหน้า เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ”
“ไม่เคยคิด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า”
เทวทูตที่ ๕
พญายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวทูตที่ ๔ แล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียง ถึงเทวทูตที่ ๕ ว่า
“เจ้าไม่เคยเห็นเทวทูตที่ ๕ ปรากฏในหมู่มนุษย์บ้างหรือ”
“ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“ในหมู่มนุษย์ สตรีหรือบุรุษที่ตาย ๑ วัน ๒ วัน หรือ ๓ วัน พองขึ้น เป็นสีเขียว มีน้ำเหลืองแตกซ่าน เจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ”
“เคยเห็น พระเจ้าข้า”
“เจ้าเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้หรือว่า ถึงตัวเราก็มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ”
“ไม่เคยคิด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า”
“เจ้าไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจา และใจ เพราะมัวประมาทอยู่ เอาเถิด เราจะลงโทษเจ้าตามฐานะที่ประมาท"
ก็บาปกรรมนี้ บิดามารดา พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา ไม่ได้ทำให้เจ้าเลย เจ้าทำเองแท้ ๆ เจ้านั่นเองต้องรับผลของบาปกรรมนั้น
มหานรก คูถนรก กุกกุลนรก ป่างิ้ว
พญายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวทูตที่ ๕ นั้นแล้ว ก็นิ่งเฉย นายนิรยบาลจึงลงอาญาด้วยเครื่องพันธนาการ ๕ อย่าง คือ
ตอกตะปูเหล็กร้อนแดงที่มือ ๒ ข้าง ที่เท้า ๒ ข้าง
และที่กลางอกเอาขวานถาก
จับเขาเอาเท้าขึ้น เอาศีรษะลง เอามีดเฉือน
จับเขาเทียมรถแล่นกลับไปกลับมาบนพื้นดินอันร้อนลุกเป็นเปลว โชติช่วง
บังคับเขาขึ้นลงภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ที่ไฟลุกโชน
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
นายนิรยบาลจับเขาเอาเท้าขึ้น เอาศีรษะลง ทุ่มลงในโลหกุมภีอันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟ เขาถูกต้มเดือดจนตัวพองในโลหกุมภีนั้น เขาเมื่อถูกต้มเดือดจนตัวพอง บางครั้งลอยขึ้น บางครั้งจมลง บางครั้งลอยขวาง
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในโลหกุมภีอันร้อนแดงนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
นายนิรยบาลจึงทุ่มเขาลงในมหานรก
ก็มหานรกนั้น มี ๔ มุม ๔ ประตู แบ่งออกเป็นส่วน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบด้วยฝาเหล็ก
มหานรกนั้นมีพื้นเป็นเหล็ก ลุกโชนโชติช่วง แผ่ไปไกลด้านละ ๑๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ เปลวไฟแห่งมหานรกนั้นลุกโพลงขึ้น จากฝาด้านทิศตะวันออกจรดฝาด้านทิศตะวันตก จากฝาด้านทิศตะวันตกจรดฝาด้านทิศตะวันออก จากฝาด้านทิศเหนือจรดฝาด้านทิศใต้ จากฝาด้านทิศใต้จรดฝาด้านทิศเหนือ จากเบื้องล่างจรดเบื้องบน จากเบื้องบนจรดเบื้องล่าง
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อนอยู่ในมหานรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
บางครั้งบางคราว เมื่อล่วงกาลไปนาน ประตูด้าน ทิศตะวันออก ของมหานรกนั้นจะถูกเปิด
เขาจะวิ่งไปที่ประตูนั้นอย่างรวดเร็ว ถูกไฟไหม้ผิวบ้าง ไหม้หนังบ้าง ไหม้เนื้อบ้าง ไหม้เอ็นบ้าง แม้กระดูกทั้งหลายก็มอดไหม้เป็นควัน อวัยวะที่ถูกแยกออกแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที
ในขณะที่เขามาถึง ประตูนั้นจะถูกปิด
เขาจึงเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อนอยู่ในมหานรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
บางครั้งบางคราว เมื่อล่วงกาลไปนาน ประตูด้าน ทิศตะวันตก ของ มหานรกนั้นจะถูกเปิด
เขาจะวิ่งไปที่ประตูนั้นอย่างรวดเร็ว ถูกไฟไหม้ผิวบ้าง ไหม้หนังบ้าง ไหม้เนื้อบ้าง ไหม้เอ็นบ้าง แม้กระดูกทั้งหลายก็มอดไหม้เป็นควัน อวัยวะที่ถูกแยกออกแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที
ในขณะที่เขามาถึงประตูนั้นจะถูกปิด
เขาจึงเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในมหานรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
บางครั้งบางคราว เมื่อล่วงกาลไปนาน ประตูด้าน ทิศเหนือ ของมหานรกนั้นจะถูกเปิด
เขาจะวิ่งไปที่ประตูนั้นอย่างรวดเร็ว ถูกไฟไหม้ผิวบ้าง ไหม้หนังบ้าง ไหม้เนื้อบ้าง ไหม้เอ็นบ้าง แม้กระดูกทั้งหลายก็มอดไหม้เป็นควัน อวัยวะที่ถูกแยกออกแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที
ในขณะที่เขามาถึง ประตูนั้นจะถูกปิด
เขาจึงเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในมหานรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
บางครั้งบางคราว เมื่อล่วงกาลไปนาน ประตูด้าน ทิศใต้ ของมหานรกนั้นจะถูกเปิด
เขาจะวิ่งไปที่ประตูนั้นอย่างรวดเร็ว ถูกไฟไหม้ผิวบ้าง ไหม้หนังบ้าง ไหม้เนื้อบ้าง ไหม้เอ็นบ้าง แม้กระดูกทั้งหลายก็มอดไหม้เป็นควัน อวัยวะที่ถูกแยกออกแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที
ในขณะที่เขามาถึง ประตูนั้นจะถูกปิด
เขาจึงเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในมหานรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
บางครั้งบางคราว เมื่อล่วงกาลไปนาน ประตูมหานรกด้าน ทิศตะวันออก จะถูกเปิด
เขาจะวิ่งไปที่ประตูนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาวิ่งไปอย่างรวดเร็วจึงถูกไฟไหม้ผิวบ้าง ไหม้หนังบ้าง ไหม้เนื้อบ้าง ไหม้เอ็นบ้าง แม้กระดูกทั้งหลายก็มอดไหม้เป็นควัน อวัยวะที่ถูกแยกออกแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที
แต่เขาจะออกทางประตูนั้นได้
รอบ ๆ มหานรกนั้น มีคูถ (อุจจาระ) นรกขนาดใหญ่อยู่ เขาตกลงในคูถนรกนั้น สัตว์ปากเข็มทั้งหลายในคูถนรกนั้นย่อมเจาะผิว เจาะผิวแล้ว เจาะเอ็น เจาะเอ็นแล้ว จึงเจาะกระดูก เจาะกระดูกแล้ว จึงกินเยื่อในกระดูก
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในมหานรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
รอบ ๆ คูถนรกนั้น มีกุกกุลนรกขนาดใหญ่อยู่ เขาตกลงในกุกกุลนรกนั้น
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในกุกกุลนรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
รอบ ๆ กุกกุลนรกนั้น มีป่างิ้วขนาดใหญ่สูง ๑ โยชน์ มีหนามยาว ๑๖ องคุลี ร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟ นายนิรยบาลบังคับเขาขึ้นลงที่ป่างิ้วนั้น
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในป่างิ้วนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
รอบ ๆ ป่างิ้วนั้นมีป่าไม้ที่มีใบเป็นดาบขนาดใหญ่อยู่ เขาเข้าไปในป่าไม้ที่มีใบเป็นดาบนั้น ใบไม้ที่เป็นดาบถูกลมพัดแล้วจะตัดมือเขาบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดมือและเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดหูและจมูกบ้าง
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อนอยู่ในป่าไม้ที่มีใบเป็นดาบนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
รอบ ๆ ป่าไม้ที่มีใบเป็นดาบนั้น มีแม่น้ำอันมีน้ำเป็นด่างขนาดใหญ่อยู่ เขาตกลงในแม่น้ำอันมีน้ำเป็นด่างนั้น ลอยไปตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง ตามกระแสและทวนกระแสบ้าง
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในนรกแม่น้ำอันมีน้ำเป็นด่างนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
นายนิรยบาลใช้เบ็ดเกี่ยวสัตว์นรกนั้นขึ้นมาวางไว้บนบกแล้วถามเขาอย่างนี้ว่า
“พ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร”
“ข้าพเจ้าหิว เจ้าข้า”
นายนิรยบาลจึงใช้ขอเหล็กอันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟเกี่ยวปากให้อ้า แล้วใส่ก้อนโลหะอันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟเข้าไปในปาก ก้อนโลหะนั้นจึงไหม้ ริมฝีปากบ้าง ไหม้ปากบ้าง ไหม้คอบ้าง ไหม้ท้องบ้าง ไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยของเขาบ้าง ออกมาทางทวารหนัก
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในนรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป
นายนิรยบาลถามเขาว่า
“พ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร”
“ข้าพเจ้ากระหาย เจ้าข้า”
นายนิรยบาลจึงใช้ขอเหล็กอันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟเกี่ยวปากให้อ้า แล้วกรอกน้ำทองแดงอันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟเข้าไปในปาก น้ำทองแดงนั้นจึงลวกริมฝีปากบ้าง ลวกปากบ้าง ลวกคอบ้าง ลวกท้องบ้าง ไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยของเขาบ้าง ออกมาทางทวารหนัก
เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อนอยู่ในนรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป นายนิรยบาลจึงโยนเขาเข้าไปในมหานรกอีก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พญายมได้คิดอย่างนี้ว่า
เหล่าสัตว์ที่ทำบาปอกุศลกรรมไว้ในโลก ถูกนายนิรยบาลทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ
โอหนอ ขอเราพึงได้ความเป็นมนุษย์ ขอพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงเสด็จอุบัติในโลก ขอเราพึงเข้าไปเฝ้าพระองค์ ขอพระองค์พึงแสดงธรรมแก่เรา และขอเราพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราได้ฟังความนั้นจากสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้ก็หาไม่
แต่เรากล่าวสิ่งที่เรารู้เอง เห็นเอง ทราบเองเท่านั้น”
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตดังนี้ ครั้นแล้วพระสุคตผู้ศาสดา ก็ได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกดังนี้ว่า
“นรชนเหล่าใดเป็นมาณพอันเทวทูตตักเตือนแล้ว
ประมาทอยู่
นรชนเหล่านั้นจะเข้าถึงหมู่สัตว์เลว
เศร้าโศกสิ้นกาลนาน
ส่วนนรชนเหล่าใดเป็นสัตบุรุษผู้สงบระงับในโลกนี้ อันเทวทูตตักเตือนแล้ว
ย่อมไม่ประมาทในธรรมของพระอริยะในกาลไหน ๆ
เห็นภัยในความถือมั่น อันเป็นเหตุแห่งชาติและมรณะ แล้วไม่ถือมั่น
หลุดพ้นในธรรมเป็นที่สิ้นชาติและมรณะได้
นรชนเหล่านั้นเป็นผู้ถึงความเกษม มีสุข
ดับสนิทในปัจจุบัน ล่วงเวรและภัยทั้งปวง
และเข้าไปล่วงทุกข์ทั้งปวงได้”
อ้างอิง : เทวทูตสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๕๐๔-๕๒๕ หน้า ๒๕๕-๒๖๔