พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย”
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปที่เป็นอดีต รูปที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา
จักกล่าวถึงรูปที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในรูปที่เป็นอดีต
ไม่เพลิดเพลินในรูปที่เป็นอนาคต
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับรูปที่เป็นปัจจุบัน
เวทนาที่เป็นอดีต เวทนาที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา
จักกล่าวถึงเวทนาที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในเวทนาที่เป็นอดีต
ไม่เพลิดเพลินในเวทนาที่เป็นอนาคต
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับเวทนาที่เป็นปัจจุบัน
สัญญาที่เป็นอดีต สัญญาที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา
จักกล่าวถึงสัญญาที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในสัญญาที่เป็นอดีต
ไม่เพลิดเพลินในสัญญาที่เป็นอนาคต
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับสัญญาที่เป็นปัจจุบัน
สังขารที่เป็นอดีต สังขารที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา
จักกล่าวถึงสังขารที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในสังขารที่เป็นอดีต
ไม่เพลิดเพลินในสังขารที่เป็นอนาคต
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับสังขารที่เป็นปัจจุบัน
วิญญาณที่เป็นอดีต วิญญาณที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา
จักกล่าวถึงวิญญาณที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในวิญญาณที่เป็นอดีต
ไม่เพลิดเพลินในวิญญาณที่เป็นอนาคต
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับวิญญาณที่เป็นปัจจุบัน”
อ้างอิง : อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๓ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๗ ข้อที่ ๓๘ หน้าที่ ๑๙
ภาพ : ศิลปิน ทวี เกษางาม