วัตถุกถาสูตรที่ ๒ – ฐานะที่ควรสรรเสริญ ๑๐ ประการ



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเป็นจำนวนมากกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่หอฉัน สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก


ดิรัจฉานกถา

สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องกรรม เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า  เรื่องที่นอน  เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนครเรื่องชนบท เรื่องสตรี  เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำเรื่องคนล่วงลับไปแล้ว  เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อม

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปยังหอฉัน ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาตบแต่งไว้

ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ก็แหละกถาอะไรที่เธอทั้งหลายสนทนาค้างไว้"

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลาย กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่หอฉัน สนทนาซึ่งดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายสนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก ไม่สมควรแก่เธอทั้งหลาย ผู้เป็นกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาเลย

ฐานะที่ควรสรรเสริญ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะที่ควรสรรเสริญ ๑๐ อย่างนี้ ๑๐ อย่างเป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ตนเองเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้มีความปรารถนาน้อย
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑

ตนเองเป็นผู้สันโดษ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สันโดษแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้สันโดษ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สันโดษแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑

ตนเองเป็นผู้สงัด
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สงัดแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้สงัด
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สงัดแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑

ตนเองเป็นผู้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
และกล่าวกถาปรารภความไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
และกล่าวกถาปรารภความไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑

ตนเองเป็นผู้ปรารภความเพียร
และกล่าวกถาปรารภความเพียรแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้ปรารภความเพียร
และกล่าวกถาปรารภความเพียรแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะที่ควรสรรเสริญ ๑

ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลแก่ภิกษุทั้งหลาย 

ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑

ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑

ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญาแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญาแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑

ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑

ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะแก่ภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะที่ควรสรรเสริญ ๑๐ อย่างนี้แล

 

 

อ้างอิง : วัตถุกถาสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ ข้อ ๗๐หน้า ๑๑๕-๑๑๖​