1-24 ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร ภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป สำเร็จอรหันต์


ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลา ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลคยาสีสะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๑,๐๐๐ รูป ล้วนเป็นปุราณชฎิล ได้ยินว่า พระองค์ประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยานั้น พร้อมด้วยภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน

ก็อะไรเล่าชื่อว่า สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน


ดูกรภิกษุทั้งหลาย
จักษุ เป็นของร้อน
รูป ทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยจักษุ เป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยจักษุ เป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

โสต เป็นของร้อน
เสียง ทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยโสต เป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยโสต เป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

ฆานะ เป็นของร้อน
กลิ่น ทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยฆานะ เป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยฆานะ เป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะฆานะสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

ชิวหา เป็นของร้อน
รส ทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยชิวหา เป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยชิวหา เป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

กาย เป็นของร้อน
โผฏฐัพพะ ทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยกาย เป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยกาย เป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

มนะ เป็นของร้อน
ธรรม ทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยมนะ เป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยมนะ เป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน



คยาสีสะ สถานที่แสดงอาทิตตปริยายสูตร

ร้อนเพราะอะไร เรากล่าวว่า

ร้อนเพราะไฟคือราคะ
เพราะไฟคือโทสะ
เพราะไฟคือโมหะ

ร้อนเพราะความเกิด
เพราะความแก่
และความตาย

ร้อนเพราะความโศก
เพราะความรำพัน
เพราะทุกข์กาย
เพราะทุกข์ใจ
เพราะความคับแค้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้วเห็นอยู่อย่างนี้

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสต ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเสียงทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยโสต ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยโสต ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกลิ่นทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะฆานะสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรสทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย

 ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย

เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ ไม่มี

ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุ ๑,๐๐๐ รูปนั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น

 

 

อ้างอิง : อาทิตตปริยายสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๔/๕๕/๔๙-๕๐