5-17 ทรงจาริกไปแคว้นมัลละพร้อมภิกษุ ๕๐๐ รูป



ทิวทัศน์อินเดียชนบท

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวจาริกไปในแคว้นมัลละ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ได้เสด็จถึงนครของพวกมัลลกษัตริย์ อันมีนามว่า ปาวา ได้ยินว่า สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร เขตนครปาวา 

ก็โดยสมัยนั้นแล ท้องพระโรงหลังใหม่นามว่า อุพภตกะ ของพวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาสร้างสำเร็จแล้วไม่นาน ยังไม่ทันที่สมณพราหมณ์หรือใคร ๆ ที่เป็นมนุษย์จะได้อยู่อาศัย พวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์กำลังประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร เขตนครปาวา 

พวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวา ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ท้องพระโรงหลังใหม่อันมีนามว่า อุพภตกะ ของพวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาสร้างสำเร็จแล้วไม่นาน ยังไม่ทันที่สมณพราหมณ์หรือใคร ๆ ที่เป็นมนุษย์จะได้อยู่อาศัย  

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงเสด็จประทับ ณ ท้องพระโรงนั้นก่อนเถิด พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับก่อนแล้ว ภายหลังพวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาจึงจักใช้สอย การเสด็จประทับก่อนของพระผู้มีพระภาคนั้นพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาสิ้นกาลนาน”

พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพแล้ว 

ครั้นพวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวา ได้ทราบการทรงรับของพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ แล้วพากันไปยังท้องพระโรง

ครั้นแล้ว จึงปูลาดท้องพระโรงให้พร้อมสรรพ แต่งตั้งอาสนะ ให้ตั้งหม้อน้ำ ตามประทีปน้ำมัน แล้วพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า 

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท้องพระโรงพวกข้าพระองค์ปูลาดพร้อมสรรพแล้ว อาสนะก็แต่งตั้งไว้แล้ว หม้อน้ำก็ให้ตั้งไว้แล้ว ประทีปน้ำมันก็ตามไว้แล้วพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้”

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตร จีวร เสด็จไปยังท้องพระโรงพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงล้างพระบาท แล้วเสด็จเข้าไปยังท้องพระโรง ประทับนั่งพิงเสากลาง ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก แม้พระภิกษุสงฆ์ก็ล้างเท้า แล้วพากันเข้าไปยังท้องพระโรง นั่งพิงฝาด้านหลัง ผินหน้าไปทางทิศตะวันออกแวดล้อมพระผู้มีพระภาค  แม้พวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาก็พากันล้างเท้า แล้วเข้าไปยังท้องพระโรง นั่งพิงฝาด้านตะวันออก ผินหน้าไปทางทิศตะวันตกแวดล้อมพระผู้มีพระภาค

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงยังพวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาตลอดราตรีเป็นอันมาก แล้วทรงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า

“ดูกรวาเสฏฐะทั้งหลาย ราตรีล่วงมากแล้ว บัดนี้ พวกท่านจงสำคัญเวลาอันสมควรเถิด”

พวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาได้พร้อมกันรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคว่า 

“อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

แล้วพากันลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ แล้วหลีกไป

เมื่อพวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาหลีกไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาค ได้ทรงเหลียวดูหมู่ภิกษุผู้นิ่งอยู่แล้ว  ได้รับสั่งกะท่านพระสารีบุตรว่า 

“ดูกรสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนนะและมิทธะ สารีบุตร จงแสดงธรรมีกถาแก่ภิกษุทั้งหลาย เราเมื่อยหลัง ฉะนั้น เราพึงพักผ่อน”

ท่านพระสารีบุตรได้รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคด้วยคำว่า 

“อย่างนั้น พระเจ้าข้า”

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ปูผ้าสังฆาฏิเป็นสี่ชั้น แล้วทรงสำเร็จสีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวา ทรงเหลื่อมพระบาทด้วยพระบาท มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงกระทำความหมายในอันที่จะเสด็จลุกขึ้นไว้ในพระทัย

 

 

อ้างอิง : สังคีติสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ ข้อที่ ๒๒๑-๒๒๔ หน้า ๑๕๘-๑๕๙