4-20 ภิกษุราชกุมาร ๕๐๐ รูป บรรลุโสดาปัตติผล



ครั้นเวลารุ่งเช้า พระองค์จึงทรงนุ่งห่ม ถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ เมืองกบิลพัสดุ์ พอเวลาปัจฉาภัตร ก็เสด็จกลับจากบิณฑบาต รับสั่งให้หาภิกษุประมาณ ๕๐๐ เหล่านั้นมาในเวลาเสร็จภัตกิจแล้ว ตรัสถามว่า

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเคยเห็นหิมวันตประเทศ อันเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์แล้วหรือ"

ภิกษุทูลตอบว่า

"ยังไม่เคยเห็นเลย พระเจ้าข้า"

"ก็พวกเธอจักไปเที่ยวยังประเทศหิมวันต์ไหมเล่า"

"ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ จักไปอย่างไรได้เล่า พระเจ้าข้า"

"ถ้าใครคนใดคนหนึ่งจะพาพวกเธอไป เธอจะไปหรือไม่เล่า"

"ข้าพระองค์จักไป พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงพาภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดไปด้วยฤทธิ์ของพระองค์

ทรงเหาะไปในอากาศจนถึงป่าหิมวันต์ ประทับยืนอยู่บนท้องฟ้า ทรงชี้ให้ชมภูเขา ๗ ลูกต่าง ๆ กัน คือ ภูเขาทอง ภูเขาเงิน ภูเขาแก้วมณี ภูเขาหรดาล ภูเขามอ ภูเขาโล้น ภูเขาแก้วผลึก

แล้วทรงชี้ให้ดูแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ สาย คือ คงคา ยมนา อจิรวดี สรภู มหี

แล้วทรงชี้ให้ดูสระทั้ง ๗ แห่ง คือ สระชื่อกัณณมุณฑะ รถาการ มัณฑากิณี สีหปบาต ฉัททันต์ อโนดาต กุณาละ

พระศาสดาทรงชี้สถานอันน่ารื่นรมย์เหล่านี้ ซึ่งเป็นเพียงบางส่วนของภูเขาหิมวันต์ ที่สูงถึง ๕๐๐ โยชน์ กว้าง ๓,๐๐๐โยชน์ ด้วยอานุภาพของพระองค์

แล้วทรงชี้ถึงสัตว์ ๔ เท้าเป็นต้นว่า ราชสีห์ เสือโคร่ง ตระกูลช้าง และสัตว์ ๒ เท้า มีนกดุเหว่า เป็นต้น ซึ่งอาศัยอยู่ที่ภูเขาหิมวันต์นั้น

ต่อจากนั้น ทรงชี้ถึงป่าอันเป็นที่รื่นรมย์ ราวกับสวนที่ประดับตกแต่งไว้ มีทั้งพรรณไม้อันมีดอกออกผล เกลื่อนกล่นด้วยหมู่นกนานาชนิด ทั้งดอกไม้น้ำและดอกไม้บก

ด้านทิศตะวันออกของภูเขาหิมวันต์นั้น มีพื้นแผ่นสุวรรณ ด้านทิศตะวันตกมีพื้นหรดาล

จำเดิมแต่กาลที่ภิกษุเหล่านั้นเห็นสถานที่และวัตถุอันน่ารื่นรมย์เหล่านี้แล้ว ความกำหนัดยินดีในชายาก็เสื่อมหายไป

ลำดับนั้น พระศาสดาจึงทรงพาภิกษุเหล่านั้นลงจากอากาศ เสด็จประทับนั่งบนอาสนะมโนศิลาอันมีปริมณฑลได้ ๓ โยชน์ ภายใต้ต้นรังอันตั้งอยู่ตลอดกัป ซึ่งมีปริมณฑลได้ ๗ โยชน์ ขึ้นอยู่บนพื้น มโนศิลาอันกว้างใหญ่ประมาณ ๖๐ โยชน์ อยู่ด้านทิศตะวันตกแห่งภูเขาหิมวันต์

เมื่อภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมพร้อมกันแล้ว จึงทรงเปล่งพระรัศมีมีพรรณ ๖ ประการ ดุจดวงสุริยะอันชัชวาลย์ ส่องสว่างกลางท้องมหาสมุทร ทำทะเลให้กระเพื่อมขึ้นลง แล้วทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ ตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นว่า

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอันใดที่พวกเธอไม่เคยเห็นในเขาหิมวันต์นี้ ก็จงถามเราเถิด"

ในขณะนั้น นางนกดุเหว่าสวยงาม ๒ ตัว คาบท่อนไม้ที่ปลายทั้งสองข้าง ให้นกตัวที่เป็นสามีของตนจับตรงกลาง แล้วมีนางนกดุเหว่าบินไปข้างหน้า ๘ ตัว ข้างหลัง ๘ ตัว ข้างซ้าย ๘ ตัว ข้างขวา ๘ ตัว ข้างล่าง ๘ ตัว ข้างบนบินบังเป็นเงา ๘ ตัว พวกนางนกดุเหว่าเหล่านั้นบินแวดล้อมนกดุเหว่านั้น บินไปในอากาศโดยอาการอย่างนี้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นฝูงนกทั้งหมด จึงทูลถามพระศาสดาว่า

"ฝูงนกเหล่านี้ชื่อนกอะไร พระเจ้าข้า"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นวงศ์เก่าของเรา เราได้ตั้งประเพณีนี้ไว้ แต่ก่อนนางนกดุหว่าทั้งหลายก็ได้บำเรอเราอย่างนี้มาเหมือนกัน แต่คราวนั้นฝูงนกยังเป็นฝูงใหญ่ นางนกที่บินตามแวดล้อมเรามีประมาณถึง ๓,๕๐๐ ตัว ในกาลต่อมาก็ร่วงโรยลงโดยลำดับ จนเวลานี้เหลืออยู่เพียงเท่าที่เห็นอยู่นี้"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางนกเหล่านี้ได้เคยบำเรอพระองค์มาในป่าชัฏเห็นปานนี้อย่างไร พระเจ้าข้า"

"ถ้าเช่นนั้นเธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังถ้อยคำของเราเถิด"

พระผู้มีพระภาคจึงตรัส กุณาลชาดก อันประดับด้วยพระคาถา ๓๐๐ คาถา ทรงบรรเทาแล้วซึ่งความไม่ยินดียิ่งของพวกภิกษุเหล่านั้น

ในเวลาจบเทศนา ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ตั้งอยู่เฉพาะแล้วในโสดาปัตติผล แม้ฤทธิ์ของภิกษุเหล่านั้นก็สำเร็จแล้วด้วยมรรคนั้นนั่นแหละ

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จขึ้นไปในอากาศ ได้เสด็จไปสู่มหาวันแล้วทีเดียว

แม้ภิกษุเหล่านั้นในเวลาไป ได้ไปด้วยอานุภาพของพระทศพล ในเวลามา ได้แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า มาหยั่งลงในมหาวันด้วยอานุภาพของตน

 

 

อ้างอิง : อรรถกถากุณาลธรรมชาดก