1-29 สารีบุตรและโมคคัลลานปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม



สถูปบ้านพระสารีบุตร เมืองนาลันทา

ก็โดยสมัยนั้น สญชัยปริพาชกอาศัยอยู่ในพระนครราชคฤห์พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่จำนวน ๒๕๐ คน

สารีบุตรปริพาชก โมคคัลลานะปริพาชก ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในสำนักสญชัยปริพาชก ท่านทั้งสองได้ทำกติกากันไว้ว่า ผู้ใดบรรลุอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่อีกคนหนึ่ง

วันหนึ่งในเวลาเช้า สารีบุตรปาริพาชกได้เห็นท่านพระอัสสชิกำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ได้มีความดำริว่า

"บรรดาพระอรหันต์ หรือท่านผู้ได้บรรลุพระอรหัตมรรคในโลก ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่  ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขณะนี้ ยังเป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้ เพราะท่านกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลัง เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ"



บริเวณปากทางเพื่อเดินไปยังบ้านพระสารีบุตร

ท่านพระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ถือบิณฑบาตกลับไป สารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาท่านพระอัสสชิ ถึงแล้ว ได้กล่าวปราศรัยกับท่านพระอัสสชิ ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กล่าวกะท่านพระอัสสชิว่า

“อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ”

ท่านพระอัสสชิกล่าวว่า “มีอยู่ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตรเสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเป็นศาสดาของเรา และเราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาค"

สารีบุตรปริพาชกถามว่า “ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร”

“เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ”



ระหว่างทางเดินไปยังสถูปบ้านพระสารีบุตร

“น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม”   

ลำดับนั้น ท่านพระอัสสชิ ได้กล่าวธรรมปริยายแก่สารีบุตรปริพาชก ว่าดังนี้


"ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้"

ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า


สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา

ได้เกิดขึ้นแก่สารีบุตรปริพาชก

ธรรมนี้แหละ ถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้น ท่านทั้งหลายจงแทงตลอดบทอันหาความโศกมิได้ บทอันหาความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็นล่วงเลยมาแล้วหลายหมื่นกัลป์



สถูปบ้านพระสารีบุตร

สารีบุตรปริพาชกเปลื้องคำปฏิญญา  

เวลาต่อมา สารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาโมคคัลลานปริพาชก โมคคัลลานปริพาชกได้เห็นสารีบุตรปริพาชกเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้ว ได้ถามสารีบุตรปริพาชกว่า

“ผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านได้บรรลุอมตธรรมแล้วกระมังหนอ”

สารีบุตรปริพาชกกล่าวว่า “ถูกละ ผู้มีอายุ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว”

“ท่านบรรลุอมตธรรมได้อย่างไร ด้วยวิธีใด”

“วันนี้เราได้เห็นพระอัสสชิกำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว เหยียดแขน คู้แขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ครั้นแล้ว เราได้มีความดำริว่า บรรดาพระอรหันต์หรือท่านผู้ได้บรรลุอรหัตมรรคในโลก ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่ เราได้เข้าไปหาพระอัสสชิ แล้วกล่าวต่อพระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร เราได้ถามพระอัสสชิต่อไปว่า ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร"



บริเวณภายในสถูปบ้านพระสารีบุตร

ครั้งนั้น พระอัสสชิได้กล่าวธรรมปริยาย ว่าดังนี้


"ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้"

โมคคัลลานปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม  

ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า 


สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา

ได้เกิดขึ้นแก่โมคคัลลานปริพาชก

ธรรมนี้แหละ ถ้ามี ก็เพียงนี้เท่านั้น ท่านทั้งหลายจงแทงตลอดบทอันหาความโศกมิได้ บทอันหาความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็น ล่วงเลยมาแล้วหลายหมื่นกัลป์

 

 

อ้างอิง : พระอัสสชิเถระ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๔ ข้อที่ ๖๔-๖๙ หน้า ๕๖-๕๙