7-01 ทรงจำพรรษาในภพดาวดึงส์



เนินคันฑามพฤกษ์ สถานที่เสด็จขึ้นดาวดึงส์ภพ

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคกำลังทรงทำยมกปาฏิหาริย์อยู่ ทรงรำพึงว่า

“พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลายทำปาฏิหาริย์นี้แล้ว จำพรรษาที่ไหนหนอ”

ทรงเห็นว่า จำพรรษาในภพดาวดึงส์ แล้วทรงแสดงอภิธรรมปิฎกแก่พระพุทธมารดา ดังนี้แล้ว ทรงยกพระบาทขวาเหยียบเหนือยอดภูเขายุคันธร ทรงยกพระบาทอีกข้างหนึ่งเหยียบเหนือยอดเขาสิเนรุ วาระที่ย่างพระบาท ๓ ก้าว ได้มีแล้วในที่ ๖๘ แสนโยชน์อย่างนี้ ช่องพระบาท ๒ ช่อง ได้ถ่างออกเช่นเดียวกันกับการย่างพระบาทตามปกติ ใคร ๆ ไม่พึงกำหนดว่า พระผู้มีพระภาคทรงเหยียดพระบาท เหยียบแล้ว เพราะในเวลาที่พระองค์ทรงยกพระบาทนั่นแหละ ภูเขาเหล่านั้นก็มาสู่ที่ใกล้พระบาทรับไว้แล้ว ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงเหยียบแล้ว ภูเขาเหล่านั้นก็ตั้งประดิษฐานในที่เดิม

ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นพระผู้มีพระภาคแล้ว ทรงดำริว่า

“พระผู้มีพระภาคจักทรงเข้าจำพรรษานี้ ในท่ามกลางบัณฑุกัมพลสิลา อุปการะจักมีแก่เหล่าเทพดามากหนอ แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาที่นั่น เทพดาอื่น ๆ จักไม่อาจหยุดมือได้ ก็แลบัณฑุกัมพลสิลานี้ ยาว ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ หนา ๑๕ โยชน์ แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้ว ก็คงคล้ายกับว่างเปล่า”



เนินคันฑามพพฤกษ์

พระผู้มีพระภาคทรงทราบอัธยาศัยของท้าวเธอ ทรงโยนสังฆาฏิของพระองค์ไปให้คลุมพื้นศิลาแล้ว ท้าวสักกะทรงดำริว่า

"พระผู้มีพระภาคทรงโยนจีวรมาให้คลุมไว้ก่อน ก็พระองค์จักประทับนั่งในที่น้อยนิดด้วยพระองค์เอง"

พระผู้มีพระภาคทรงทราบอัธยาศัยของท้าวเธอ จึงประทับนั่งทำบัณฑุกัมพลสิลาไว้ภายในขนดจีวรนั่นเอง ประหนึ่งภิกษุผู้ทรงผ้ามหาบังสุกุล ทำตั่งเตี้ยไว้ภายในขนดจีวร ขณะนั้นเอง แม้มหาชนแลดูพระผู้มีพระภาคอยู่ ก็มิได้เห็น กาลนั้นได้เป็นประหนึ่งเวลาพระจันทร์ตก และได้เป็นเหมือนเวลาพระอาทิตย์ตก มหาชนคร่ำครวญว่า

"พระผู้มีพระภาคเสด็จไปสู่เขาจิตรกูฏ หรือสู่เขาไกรลาส หรือสู่เขายุคันธร เราทั้งหลายจึงไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้โลกเชษฐ์ ผู้ประเสริฐกว่านระ"

อีกพวกหนึ่งกำลังคร่ำครวญว่า

"ชื่อว่าพระศาสดา ทรงยินดีแล้วในวิเวก พระองค์จักเสด็จไปสู่แคว้นอื่น หรือชนบทอื่นเสียแล้ว เพราะทรงละอายว่า เราทำปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ แก่บริษัทเห็นปานนี้ บัดนี้ เราทั้งหลายคงไม่ได้เห็นพระองค์ พระองค์ผู้เป็นปราชญ์ ทรงยินดีแล้วในวิเวก จักไม่เสด็จกลับมาโลกนี้อีก เราทั้งหลายจะไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้โลกเชษฐ์ ผู้ประเสริฐกว่านระ"

ชนเหล่านั้นถามพระมหาโมคคัลลานะว่า

"พระผู้มีพระภาคเสด็จไปที่ไหน ขอรับ"

ท่านพระโมคคัลลานะแม้ทราบอยู่เอง ก็ยังกล่าวว่า "จงถามพระอนุรุทธเถิด" ด้วยท่านมุ่งหมายว่า คุณแม้ของสาวกอื่น ๆ จงปรากฏ ดังนี้

ชนเหล่านั้นถามพระอนุรุทธเถระอย่างนั้นว่า

"พระผู้มีพระภาคเสด็จไปที่ไหน ขอรับ"

พระอนุรุทธกล่าวตอบว่า

"เสด็จไปจำพรรษาที่บัณฑุกัมพลสิลาในภพดาวดึงส์ แล้วทรงแสดงอภิธรรมปิฎกแก่พระมารดา"

"จักเสด็จมาเมื่อไร ขอรับ"

"ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกตลอด ๓ เดือน แล้ว จักเสด็จมาในวันมหาปวารณา

มหาชนกล่าวว่า "พวกเราไม่ได้เห็นพระผู้มีพระภาค จักไม่ไป"

ดังนี้แล้ว ทำที่พักอยู่แล้วในที่นั้นนั่นเอง



ได้ยินว่า ชนเหล่านั้นได้มีอากาศนั่นเอง เป็นเครื่องมุงเครื่องบัง ชื่อว่าเหงื่อที่ไหลออกจากตัวของบริษัทใหญ่ถึงเพียงนั้น มิได้ปรากฏแล้ว แผ่นดินได้แหวกช่องให้แล้ว พื้นแผ่นดินในที่ทุกแห่งได้เป็นที่สะอาดทีเดียว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสั่งพระมหาโมคคัลลานะไว้ก่อนว่า

"โมคคัลลานะ เธอพึงแสดงธรรมแก่บริษัทนั่น จุลอนาถบิณฑิกะจักให้อาหาร"

เพราะเหตุนั้น จุลอนาถบิณฑิกะได้ให้ข้าวต้ม ข้าวสวย ของเคี้ยว ของหอม ระเบียบและเครื่องประดับแก่บริษัทนั้น ทุกเวลาทั้งเช้าและเย็นตลอดไตรมาสนั้น พระมหาโมคคัลลานะแสดงธรรม วิสัชนาปัญหาที่เหล่าชนผู้มาเพื่อดูปาฏิหาริย์ถามแล้ว

พระสัมพุทธเจ้าไพโรจน์ล่วงเหล่าเทวดา

เทวดาในหมื่นจักรวาลแวดล้อมแม้พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงจำพรรษาที่บัณฑุกัมพลสิลาเพื่อทรงแสดงอภิธรรมแก่พระมารดา

ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคนั้นประทับนั่ง ครอบงำเทพดาทุกหมู่เหล่าด้วยรัศมีพระสรีระของพระองค์อย่างนี้ พระพุทธมารดาเสด็จมาจากวิมานชั้นดุสิต ประทับนั่ง ณ พระปรัศว์เบื้องขวา แม้อินทกเทพบุตรก็มานั่ง ณ พระปรัศว์เบื้องขวาเหมือนกัน อังกุรเทพบุตรมานั่ง ณ พระปรัศว์เบื้องซ้าย

เมื่อเทพดาทั้งหลายผู้มีศักดิ์ใหญ่ประชุมกัน อังกุรเทพบุตรนั้นร่นออกไปแล้ว ได้โอกาสในที่มีประมาณ ๑๒ โยชน์ อินทกเทพบุตรนั่งในที่นั่นเอง

พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรดูเทพบุตรทั้งสองนั้นแล้ว มีพระประสงค์จะยังบริษัทให้ทราบความที่ทานอันบุคคลถวายแล้วแก่ทักขิไณยบุคคลในศาสนาของพระองค์ เป็นกุศล มีผลมาก จึงตรัสว่า

"อังกุระ เธอทำแถวเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ ให้ทานเป็นอันมากเป็นเวลาประมาณหมื่นปี ซึ่งเป็นระยะกาลนาน บัดนี้ เธอมาสู่สมาคมของเรา ได้นั่งในที่ไกลตั้ง ๑๒ โยชน์ ซึ่งไกลกว่าเทพบุตรทั้งหมด อะไรหนอแล เป็นเหตุในข้อนี้"

พระสุรเสียงนั้นดังถึงพื้นปฐพี บริษัททั้งหมดได้ยินพระสุรเสียงนั้น

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนั้นแล้ว อังกุรเทพบุตรอันพระผู้มีพระภาคผู้มีพระองค์อันอบรมแล้ว ตรัสเตือนแล้ว ได้กราบทูลคำนี้ว่า

"ข้าพระองค์จะต้องการอะไรด้วยทานอันว่างเปล่าจากทักขิไณยบุคคล

ยักษ์ชื่ออินทกะนี้นั้น ถวายทานแล้วนิดหน่อย ยังรุ่งเรืองยิ่งกว่าข้าพระองค์ดุจพระจันทร์ในหมู่ดาว"

เมื่ออังกุรเทพบุตรกราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสกะอินทกเทพบุตรว่า

"อินทกะ เธอนั่งข้างขวาของเรา ไฉนจึงไม่ต้องร่นออกไปนั่งเล่า"

อินทกเทพบุตรกราบทูลว่า

"พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ทักขิไณยสมบัติแล้ว ดุจชาวนาหว่านพืชนิดหน่อยในนาดี"

ดังนี้แล้ว เมื่อจะประกาศทักขิไณยบุคคล จึงกราบทูลว่า

"พืชแม้มาก อันบุคคลหว่านแล้วในนาดอน
ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังชาวนาให้ยินดี ฉันใด
ทานมากมาย อันบุคคลตั้งไว้ในหมู่ชนผู้ทุศีล
ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังทายกให้ยินดี ฉันนั้นเหมือนกัน

พืชแม้เล็กน้อย อันบุคคลหว่านแล้วในนาดี
เมื่อฝนหลั่งสายน้ำถูกต้องตามกาล
ผลก็ย่อมยังชาวนาให้ยินดีได้ ฉันใด
เมื่อสักการะแม้เล็กน้อยอันทายกทำแล้ว
ในเหล่าท่านผู้มีศีล ผู้มีคุณคงที่
ผลก็ย่อมยังทายกให้ยินดีได้ ฉันนั้นเหมือนกัน"

ได้ยินว่า อินทกเทพบุตรนั้น ได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งที่เขานำมาแล้วเพื่อตนแก่พระอนุรุทธเถระผู้เข้าไปบิณฑบาตภายในบ้าน บุญของเธอนั้นมีผลมากกว่าทานที่อังกุรเทพบุตรทำแถวเตาไฟยาวตั้ง ๑๒ โยชน์ ให้แล้วตั้งหมื่นปี เพราะเหตุนั้น อินทกเทพบุตรจึงกราบทูลอย่างนั้น

เมื่ออินทกเทพบุตรกราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

"อังกุระ การเลือกเสียก่อนแล้วให้ทานจึงควร ทานนั้นย่อมมีผลมากด้วยอาการอย่างนี้ ดุจพืชที่เขาหว่านดีในนาดี ฉะนั้น แต่เธอหาได้ทำอย่างนั้นไม่ เหตุนั้น ทานของเธอจึงไม่มีผลมาก"

เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ให้แจ่มแจ้งจึงตรัสว่า


"ทานอันบุคคลให้แล้วในเขตใด มีผลมาก บุคคลพึงเลือกให้ทานในเขตนั้น การเลือกให้อันพระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว ทานที่บุคคลให้แล้วในทักขิไณยบุคคลทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกคือ หมู่สัตว์ที่ยังเป็นอยู่นี้ มีผลมาก เหมือนพืชที่บุคคลหว่านแล้วในนาดี"

เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไป ได้ตรัสพระคาถาเหล่านั้นว่า

"นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย
หมู่สัตว์นี้มี ราคะ เป็นเครื่องประทุษร้าย
เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้ว
ในท่านผู้มีราคะไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก

นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย
หมู่สัตว์นี้มี โทสะ เป็นเครื่องประทุษร้าย
เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้ว
ในท่านผู้มีโทสะไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก

นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย
หมู่สัตว์นี้มี โมหะ เป็นเครื่องประทุษร้าย
เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้ว
ในท่านผู้มีโมหะไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก

นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย
หมู่สัตว์นี้มี ความอยาก เป็นเครื่องประทุษร้าย
เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้ว
ในท่านผู้มีความอยากไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก

ในกาลจบเทศนา อังกุรเทพบุตรและอินทกเทพบุตรดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล

 

อ้างอิง :  อรรถกถาเรื่อง ยมกปาฏิหาริย์ คาถาธรรมบท พุทธวรรค