โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่ปราสาทของมิคารมารดา ในบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ พระผู้มีพระภาคมีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งอยู่ เมื่อล่วงเข้าราตรี ปฐมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า
“พระพุทธเจ้าข้า ล่วงเข้าราตรี ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าข้า”
เมื่อพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงนิ่งเสีย
แม้ครั้งที่สอง มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า
“พระพุทธเจ้าข้า ล่วงเข้าราตรี มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าข้า”
แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคก็ทรงนิ่งเสีย
แม้ครั้งที่สาม ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ้น ราตรีสว่างแล้ว ท่านพระอานนท์จึงลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า
“พระพุทธเจ้าข้า ล่วงเข้าราตรี ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ้น ราตรีสว่างแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“ดูกรอานนท์ บริษัทไม่บริสุทธิ์”
ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะคิดว่า
“พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ว่า ดูกรอานนท์ บริษัทไม่บริสุทธิ์ ทรงหมายถึงบุคคลไรหนอ”
ทีนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะมนสิการกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ทั้งหมดด้วยจิต ได้เห็นบุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ ไม่ใช่สมณะปฏิญาณว่า เป็นสมณะมิใช่พรหมจารี ปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองนั้น นั่งอยู่ ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์
ครั้นแล้ว จึงเข้าไปหาบุคคลนั้นได้กล่าวว่า
“ลุกขึ้นเถิดท่าน พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นท่านแล้ว ท่านไม่มีสังวาสกับภิกษุทั้งหลาย”
แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวอย่างนี้แล้ว บุคคลนั้นก็ยังนิ่งเสีย
แม้ครั้งที่สอง ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะบุคคลนั้นว่า
“ลุกขึ้นเถิดท่าน พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นท่านแล้ว ท่านไม่มีสังวาสกับภิกษุทั้งหลาย”
แม้ครั้งที่สอง บุคคลนั้นก็ยังนิ่งเสีย
แม้ครั้งที่สาม ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะบุคคลนั้นว่า
“ลุกขึ้นเถิดท่าน พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นท่านแล้ว ท่านไม่มีสังวาสกับภิกษุทั้งหลาย”
แม้ครั้งที่สาม บุคคลนั้นก็ยังนิ่งเสีย
ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจับบุคคลนั้นที่แขนให้ออกไปนอกซุ้มประตู ใส่กลอนแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลว่า
“พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ให้บุคคลนั้นออกไปแล้ว บริษัทบริสุทธิ์แล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“น่าอัศจรรย์ โมคคัลลานะ ไม่เคยมี โมคคัลลานะถึงกับต้องจับแขนโมฆบุรุษนั้นจึงมาได้”
อ้างอิง : ปาติโมกขฐปนะขันธกะ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๗ ข้อที่ ๔๔๗-๔๔๘