อานันทโพธิ์ พระเชตวันวิหาร นครสาวัตถี
สมัยหนึ่ง ท่านพระปุณณมันตานีบุตรกล่าวสอนพระอานนท์ด้วยโอวาทอย่างนี้ว่า
“ดูกรท่านอานนท์ เพราะถือมั่น จึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่าเป็นเรา เพราะไม่ถือมั่น จึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่าเป็นเรา
เพราะถือมั่นอะไรจึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่าเป็นเรา เพราะไม่ถือมั่นอะไร จึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่าเป็นเรา
เพราะถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่าเป็นเรา
เพราะไม่ถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่าเป็น เรา
ดูกรท่านอานนท์ เปรียบเสมือนสตรีหรือบุรุษรุ่นหนุ่มรุ่นสาว มีนิสัยชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตน ที่กระจกหรือที่ภาชนะน้ำ อันใสบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะยึดถือจึงเห็น เพราะไม่ยึดถือจึงไม่เห็นฉันใด
ดูกรท่านอานนท์ เพราะถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่าเป็นเรา เพราะไม่ถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่าเป็นเรา ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรท่านอานนท์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง”
ท่านพระอานนท์กล่าวตอบว่า
“ไม่เที่ยง อาวุโส”
“เวทนา เที่ยงหรือไม่เที่ยง”
“ไม่เที่ยง อาวุโส”
“สัญญา เที่ยงหรือไม่เที่ยง”
“ไม่เที่ยง อาวุโส”
“สังขาร เที่ยงหรือไม่เที่ยง”
“ไม่เที่ยง อาวุโส”
“วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง”
“ไม่เที่ยง อาวุโส”
“เพราะเหตุนี้แล อริยสาวกผู้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ รู้ชัดอย่างนี้ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี”
หลังจากได้ฟังธรรม พระอานนท์ได้บรรลุโสดาปัตติผล และต่อมาเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสรู้แล้วได้ 20 ปี ท่านจึงได้เป็นพุทธอุปัฏฐากประจำของพระผู้มีพระภาคจวบจนพระผู้มีพระภาคปรินิพพาน
อ้างอิง : อานันทสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๗ ข้อที่ ๑๙๓ หน้า ๑๐๓-๑๐๔