23-07 เรวตสามเณรบรรพชาและบรรลุพระอรหัต



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเรวตเถระผู้อยู่ป่าไม้สะแก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า

พระสารีบุตรชวนพี่น้องบวช

ท่านพระสารีบุตรละทรัพย์ ๘๗ โกฏิ ออกบวช แล้วชักชวนน้องสาว ๓ คน คือนางจาลา นางอุปจาลา นางสีสุปจาลา และน้องชาย ๒ คนนี้ คือนายจุนทะ นายอุปเสนะ ให้บวชแล้ว เหลือแต่เรวตกุมารผู้เดียวเท่านั้นยังอยู่ที่บ้าน มารดาของท่านคิดว่า

“อุปติสสะบุตรของเราละทรัพย์ประมาณเท่านี้ออกบวช แล้วยังชักชวนน้องสาว ๓ คน น้องชาย ๒ คน ให้บวชด้วย เรวตะผู้เดียวเท่านั้นยังเหลืออยู่ ถ้าเธอจักชักชวนเรวตะให้บวช ทรัพย์ของเรากฉิบหาย วงศ์สกุลจักขาดสูญ เราจักผูกเรวตะนั้นไว้ด้วยการอยู่ครองเรือนในเวลาที่เขายังเป็นเด็กเถิด”

ฝ่ายพระสารีบุตรเถระสั่งภิกษุทั้งหลายไว้ก่อนทีเดียวว่า

“ผู้มีอายุ ถ้าเรวตะประสงค์จะบวช มาแล้วไซร้ พวกท่านพึงให้เขาบวช เพราะมารดาบิดาของผมเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีประโยชน์อะไรที่เรวตะจะบอกลาท่านทั้งสอง ผมเองเป็นมารดาและบิดาของเรวตะนั้น”

มารดาให้เรวตะแต่งงาน

แม้มารดาของพระสารีบุตรเถระประสงค์จะผูกเรวตกุมารผู้มีอายุ ๗ ขวบเท่านั้น ด้วยเครื่องผูกคือเรือน จึงหมั้นเด็กหญิงในตระกูลที่มีชาติเสมอกัน กำหนดวันแล้ว ประดับตกแต่งกุมาร แล้วได้พาไปสู่เรือนของญาติเด็กหญิง พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก

พวกญาติของเขาทั้งสองผู้ทำการมงคลประชุมกัน พวกญาติให้เขาทั้งสองจุ่มมือลงในถาดน้ำ แล้วกล่าวมงคลทั้งหลาย หวังความเจริญแก่เด็กหญิง จึงกล่าวว่า

“ขอเจ้าจงเห็นธรรมอันยายของเจ้าเห็นแล้ว เจ้าจงเป็นอยู่สิ้นกาลนานเหมือนยาย นะแม่”

เรวตกุมารคิดว่า

“อะไรหนอ ชื่อว่าธรรมอันยายนี้เห็นแล้ว”

เขาจึงถามว่า

“คนไหนเป็นยายของหญิงนี้”

พวกญาติบอกกะเขาว่า

“พ่อ คนนี้ มีอายุ ๑๒๐ ปี มีฟันหลุด ผมหงอก หนังหดเหี่ยว ตัวตกกระ หลังโกงดุจกลอนเรือน เจ้าไม่เห็นหรือ นั่นเป็นยายของเด็กหญิงนั้น”

“ก็แม้หญิงนี้ จักเป็นอย่างนั้นหรือ”

“ถ้าเขาจักเป็นอยู่ไซร้ ก็จักเป็นอย่างนั้น พ่อ”

เรวตะคิดหาอุบายออกบวช

เรวตะนั้นคิดว่า

“ชื่อว่าสรีระแม้เห็นปานนี้ จักถึงประการอันแปลกนี้เพราะชรา อุปติสสะพี่ชายของเราจักเห็นเหตุนี้แล้ว ควรที่เราจะหนีไปบวชเสียในวันนี้แหละ”

ทีนั้น พวกญาติอุ้มเขาขึ้นสู่ยานอันเดียวกันกับเด็กหญิง พาหลีกไปแล้ว เขาไปได้หน่อยหนึ่งอ้างการถ่ายอุจจาระ พูดว่า

“ท่านทั้งหลายจงหยุดยานก่อน ฉันลงไปแล้วจักมา"

ดังนี้แล้ว ลงจากยาน เขาไปหลังพุ่มไม้พุ่มหนึ่งสักครู่หนึ่ง แล้วจึงกลับไปขึ้นยาน เขาเดินทางไปได้หน่อยหนึ่งแล้ว ก็ขอลงจากยานด้วยการอ้างเหมือนเดิม แล้วก็ทำเหมือนเดิมอีก

พวกญาติของเขาเห็นเขาทำอย่างนั้นหลายครั้ง จึงมิได้ทำสงสัยอะไร เขาเดินทางต่อไปได้หน่อยหนึ่งก็ลงไปด้วยการอ้างอย่างนั้นอีก แล้วพูดว่า

“พวกท่านจงขับไปข้างหน้า ฉันจักค่อย ๆ เดินตามไปข้างหลัง”

เมื่อเขาลงไปแล้ว ได้บ่ายหน้าตรงไปยังพุ่มไม้

เรวตะได้บรรพชา

พวกญาติของเขาได้ขับยานไปด้วยสำคัญว่า เรวตะจักมาข้างหลัง ฝ่ายเรวตะนั้นหนีไปจากที่นั้นแล้ว ไปยังสำนักของภิกษุประมาณ ๓๐ รูป ซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ไหว้พวกภิกษุแล้ว เรียนว่า

“ท่านขอรับ ขอท่านทั้งหลายจงให้กระผมบวช”

พวกภิกษุกล่าวว่า

“ผู้มีอายุ เธอประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ พวกข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเธอเป็นพระราชโอรสหรือเป็นบุตรของอำมาตย์ จักให้เธอบวชอย่างไรได้”

“พวกท่านไม่รู้จักกระผมหรือ ขอรับ”

“ไม่รู้ ผู้มีอายุ”

“กระผมเป็นน้องชายของอุปติสสะ”

“ชื่อว่าอุปติสสะ นั่นคือใคร”

“ท่านผู้เจริญทั้งหลายเรียกพี่ชายของกระผมว่า สารีบุตร เพราะฉะนั้น เมื่อกระผมเรียนว่า ‘อุปติสสะ’ ท่านผู้เจริญทั้งหลายจึงไม่ทราบ”

“ก็เธอเป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระหรือ”

“อย่างนั้น ขอรับ”

“ถ้ากระนั้น มาเถิด พี่ชายของเธออนุญาตไว้แล้ว”

ดังนี้แล้ว ก็ให้เปลื้องเครื่องอาภรณ์ของเขาออก ให้เขาบวช แล้วจึงส่งข่าวไปให้พระสารีบุตรเถระ

พระเถระฟังข่าวนั้นแล้ว จึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุทั้งหลายส่งข่าวมาว่าพวกภิกษุที่อยู่ป่า ให้เรวตะบวช ข้าพระองค์จะไปเยี่ยมเธอ แล้วจึงจักกลับมา”

พระศาสดามิได้ทรงยอมให้ไป ด้วยพระดำรัสว่า

“สารีบุตร จงยับยั้งอยู่ก่อน”

โดยการล่วงไป ๒-๓ วัน พระเถระก็ทูลลาพระศาสดาอีก พระศาสดามิทรงยอมให้ไป ด้วยพระดำรัสว่า

“สารีบุตร จงยับยั้งอยู่ก่อน แม้เราก็จักไป”

เรวตสามเณรบรรลุพระอรหัต

ฝ่ายเรวตสามเณรคิดว่า

“ถ้าเราจักอยู่ในที่นี้ไซร้ พวกญาติจักให้คนติดตามเรียกเรากลับ”

เธอจึงเรียนกัมมัฏฐานจนถึงพระอรหัตในสำนักของภิกษุเหล่านั้น ถือบาตรและจีวร เที่ยวจาริกไปถึงป่าไม้สะแก ห่างจากสถานที่ที่เธอบวชประมาณ ๓๐ โยชน์ ภายในพรรษานั่นแล เธอบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย

 

 

อ้างอิง : คาถาธรรมบท อรหันตวรรค เรื่องพระขทิรวนิยเรวตเถระ

ภาพ : พระคันธกุฎี วิหารเชตวัน นครสาวัตถี