1-02 ประสูติพระโพธิสัตว์



ลุมพินีวันมหาวิหาร

ก็เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตภพนั้น เทวราชทั้งปวงใน ๖ ชั้น และท้าวมหาพรหมพากันประชุมในจักรวาลเดียว แล้วไปยังภพพระโพธิสัตว์ ทูลว่า

“ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระองค์บำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ มา มิได้ปรารถนาเทวสมบัติ พรหมสมบัติ แต่ปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ เพื่อรื้อถอนสัตว์ทั้งหลายออกจากภพ

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ บัดนี้เป็นกาลที่พระองค์จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว" 


ลำดับนั้น พระมหาบุรุษทรงตรวจดูปัญจมหาวิโลกนะ[1] ๕ ประการ คือ กาล ๑ ทวีป ๑ ประเทศ ๑ ตระกูล ๑ และกำหนดอายุของพระมารดา ๑

กาล คือ อายุที่เจริญเกินแสนปี ชื่อว่าไม่สมควร เพราะภัย คือ ชาติ ชรา มรณะ ไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย กาลแห่งอายุหย่อนกว่าร้อยปี ไม่สมควร เพราะกาลนั้นสัตว์มีกิเลสหนา ไม่ตั้งอยู่ในฐานะโอวาท กาลแห่งอายุแสนปีลงมาและร้อยปีขึ้นไป เป็นกาลอันควร

ทวีป คือ ในทวีปทั้ง ๔ นั้น ชมพูทวีปเท่านั้นจึงควร

ประเทศ คือ มัชฌิมประเทศจึงควร

ตระกูล คือ ตระกูลกษัตริย์ หรือพราหมณ์ บัดนี้ ตระกูลกษัตริย์ชาวโลกยกย่อง ตระกูลกษัตริย์จึงควร

กำหนดอายุของพระมารดา คือ พระนางจะมีอายุหลัง ๑๐ เดือนไปแล้วได้อีก ๗ วัน



สระน้ำบริเวณสวนลุมพินีวัน

พระโพธิสัตว์จึงให้ปฏิญญาแก่เทวดาและพรหมทั้งหลายเหล่านั้น จุติจากดุสิตเทวโลก มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางมหามายาเทวี

ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดานั้น โลกธาตุทั้งสิ้นได้สะเทือนหวั่นไหว บุพนิมิต ๓๒ ประการได้ปรากฏขึ้นในหมื่นจักรวาล พระมหามายาเทวีทรงบริหารพระครรภ์ตลอด ๑๐ เดือน มีพระราชประสงค์จะเสด็จไปยังเรือนแห่งพระญาติ

พระเจ้าสุทโธทนมหาราชรับสั่งให้ทำหนทางจากนครกบิลพัสดุ์จนถึงนครเทวทหะ เมื่อเสด็จถึงป่าสาลวันชื่อ ลุมพินี ระหว่างพระนครทั้งสอง พระนางเสด็จถึงโคนต้นสาละ เมื่อทรงเหยียดพระหัตถ์จับกิ่งสาละนั้น ลมกัมมัชวาตของพระเทวีเกิดขึ้น มหาชนจึงวงม่านเพื่อพระนาง แล้วถอยออกไป ก็เมื่อพระนางทรงยืนจับกิ่งสาละนั้นอยู่ พระโพธิสัตว์ได้ประสูติแล้ว



รูปปั้นพระมหามายาเทวีขณะยืนจับกิ่งสาละ

ในขณะนั้นนั่นเอง ท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ พระองค์ ก็ถือข่ายทองคำมาถึง ท้าวมหาพรหมเหล่านั้นเอาข่ายทองคำรับพระโพธิสัตว์ วางไว้เบื้องพระพักตร์ของพระมารดาพลางทูลว่า "ข้าแต่พระเทวี ขอพระองค์ทรงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรของพระองค์มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้ว"

สัตว์เหล่าอื่นออกจากท้องมารดาแล้ว เปื้อนด้วยสิ่งปฏิกูลไม่สะอาดคลอดออกมา ฉันใด พระโพธิสัตว์หาเป็นเหมือนฉันนั้นไม่

ก็พระโพธิสัตว์นั้นเหยียดมือทั้งสองและเท้าทั้งสองยืนอยู่ ดุจพระธรรมกถึกลงจากธรรมาสน์ และเหมือนบุรุษลงจากบันได ไม่แปดเปื้อนด้วยของไม่สะอาดใด ๆ ซึ่งมีอยู่ในครรภ์ของมารดา เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ โชติช่วงอยู่ประดุจแก้วมณีที่เขาวางไว้บนผ้ากาสิกพัสตร์ ฉะนั้น คลอดออกจากครรภ์พระมารดา



แม้เช่นนั้นก็ตาม เพื่อจะสักการะพระโพธิสัตว์และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ สายธารน้ำสองสายพุ่งจากอากาศ ทำร่างกายของพระโพธิสัตว์และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ให้ได้รับความสดชื่น

ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้รับพระโพธิสัตว์จากหัตถ์ของท้าวมหาพรหมผู้ยืนเอาข่ายทองคำรับอยู่ ด้วยเครื่องลาดทำด้วยหนังเสือดาวอันมีสัมผัสสบาย พวกมนุษย์เอาพระยี่ภู่ทำด้วยผ้าทุกูลพัสตร์รับจากหัตถ์ของท้าวมหาราชเหล่านั้น

เมื่อพ้นจากมือของเหล่ามนุษย์ พระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดูทิศตะวันออก จักรวาลหลายพันได้เป็นลานอันเดียวกัน เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในที่นั้นพากันบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น กล่าวกันว่า "ข้าแต่มหาบุรุษ คนอื่นผู้จะเสมอเหมือนท่านไม่มีในโลกนี้ ในโลกนี้จักมีผู้ยิ่งกว่ามาแต่ไหน"

พระโพธิสัตว์มองตรวจไปโดยลำดับตลอดทั้ง ๑๐ ทิศ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศ ทิศน้อย ๔ ทิศ เบื้องล่างและเบื้องบนด้วยประการอย่างนี้แล้ว มิได้ทรงเห็นใครๆ ผู้แม้นเหมือนกับตน ทรงดำริว่า นี้ทิศเหนือ จึงเสด็จโดยย่างพระบาทไป ๗ ก้าว มีท้าวมหาพรหมคอยกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามะถือพัดวาลวิชนี และเทวดาอื่นๆ ถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือเดินตามเสด็จ

พระโพธิสัตว์ปรากฏเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ โชติช่วงอยู่ ณ ที่นั้น



พระโพธิสัตว์ประทับยืนแล้วเสด็จโดยย่างพระบาทไป ๗ ก้าว ทรงบันลือสีหนาทเปล่งอาสภิวาจาว่า


"เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้ ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี"

ก็ในขณะที่พระโพธิสัตว์ประสูตินั้น พระเทวีพิมพา ๑ พระอานนท์ ๑ ฉันนอำมาตย์ ๑ กาฬุทายีอำมาตย์ ๑ กัณฐกะอัศวราช ๑ มหาโพธิพฤกษ์ ๑ และขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ขุมอีก ๑ ก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้ง ๗ เหล่านี้เป็นสหชาตกับพระโพธิสัตว์

สมัยนั้น ดาบสชื่อ กาฬเทวิล หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อสิตฤาษี ผู้คุ้นเคยกับราชสกุลของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช เป็นผู้ได้สมาบัติ ๘ ได้ฟังคำของเหล่าเทวดาว่า พระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชประสูติแล้ว พระราชบุตรนั้นจักประทับที่โพธิมัณฑ์ เป็นพระพุทธเจ้า ประกาศพระธรรมจักร 

อสิตฤาษีรีบลงมาจากเทวโลก เข้าไปยังพระราชนิเวศน์เพื่อเห็นพระราชบุตร พระราชาจึงให้นำพระกุมารมา เมื่อเริ่มที่จะให้พระกุมารไหว้พระดาบส พระบาททั้งสองของพระโพธิสัตว์กลับไปประดิษฐานบนชฎาของพระดาบส พระดาบสจึงลุกจากอาสนะ ประคองอัญชลี แล้วไหว้พระกุมารโพธิสัตว์ พระราชาทรงเห็นความอัศจรรย์ จึงไหว้พระราชบุตรของพระองค์



ก็ดาบสนั้นระลึกชาติได้ ๘๐ กัป คืออดีต ๔๐ กัปป์ อนาคต ๔๐ กัปป์ เห็นลักษณะพระโพธิสัตว์แล้วรู้ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า จึงได้กระทำการยิ้มแย้ม แล้วใคร่ครวญว่า เราจักได้เห็นบุรุษผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ รู้ว่าจักไม่ได้ทันเห็น ตนจักตายแล้วไปเกิดในอรูปภพซึ่งแม้พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจเสด็จไปให้ตรัสรู้ได้ เมื่อรู้ว่าเราจักไม่ได้ทันเห็นพระองค์จึงร้องไห้

ครั้งนั้น พระประยูรญาติทั้งหลายได้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน มาฉันโภชนะอย่างประณีต บรรดาพราหมณ์เหล่านั้น มีพราหมณ์ ๘ คนเป็นผู้ทำนายพระลักษณะ พราหมณ์ ๗ คนได้ทำนายพระโพธิสัตว์เป็น ๒ สถานว่า ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่มาณพชื่อ โกณฑัญญะ เป็นหนุ่มกว่าพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ได้ทำนายสถานเดียวเท่านั้นว่า พระกุมารนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว

 

---------

[1] มหาวิโลกนะ “การตรวจดูอันยิ่งใหญ่” ข้อตรวจสอบพิจารณาที่สำคัญ หมายถึง สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาตรวจดู ก่อนจะตัดสินพระทัยประทานปฏิญาณรับอาราธนาของเทพยดาทั้งหลาย ว่าจะจุติจากดุสิตเทวโลกไปบังเกิดในพระชาติสุดท้ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มี ๕ อย่าง นิยมเรียกว่า ปัญจมหาวิโลกนะ (อ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

 

 

อ้างอิง : อวิทูเรนิทานกถา