1-35 กาฬุทายีอำมาตย์ทูลนิมนต์พระศาสดาให้เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์



นิโครธาราม

พระเจ้าสุทโธทนะทรงสดับว่าพระราชโอรสประพฤติทุกรกิริยานาน 6 ปี ก็ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงประกาศธรรมอันบวรอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ จึงรับสั่งให้อำมาตย์ผู้หนึ่งพร้อมบริวาร ๑,๐๐๐ คน ไปทูลนิมนต์ให้พระพุทธองค์เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์

แต่เมื่ออำมาตย์และบริวารได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้ว จึงได้บรรลุอรหัตตผล ณ ที่นั้น พระศาสดาจึงทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ เมื่อบรรพชาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นก็ไม่ได้ส่งข่าวให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ พระองค์จึงทรงส่งอำมาตย์พร้อมบริวาร ๑,๐๐๐ คน โดยทำนองเดียวกันมาตามอีกถึง ๙ ครั้ง ก็ไม่มีผู้ใดนำข่าวกลับไปแจ้ง เพราะทั้งหมดได้สำเร็จอรหัตตผลแล้วพำนักอยู่ ณ กรุงราชคฤห์นั่นเอง



ศาลาไทยภายในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร

ในที่สุดพระเจ้าสุทโธทนะจึงส่งกาฬุทายีอำมาตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสหชาติของพระพุทธองค์ เป็นผู้ไปทูลนิมนต์พระศาสดา เมื่อกาฬุทายีพร้อมทั้งบริวารได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ก็ได้บรรลุอรหัตตผล ดำรงอยู่ในความเป็นเอหิภิกขุเช่นเดียวกัน

ครั้นในวันเพ็ญเดือน ๔ พระกาฬุทายีเถระคิดว่าพืชผลของชาวบ้านต่างเก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้วสะดวกแก่การเดินทาง จึงเข้าไปกราบทูลให้พระพุทธองค์เสด็จกบิลพัสดุ์เพื่อสงเคราะห์พระญาติ

พระพุทธองค์เสด็จพร้อมด้วยพระขีณาสพสองหมื่นองค์ ระหว่างทางพระกาฬุทายีเถระก็ได้นำบิณฑบาตจากพระเจ้าสุทโธทนะและชนชาววังมาถวายต่อพระศาสดาด้วยฤทธิ์โดยการเหาะขึ้นสู่เวหา

นอกจากนี้ พระกาฬุทายียังได้แสดงธรรมีกถาที่ประกอบด้วยพุทธคุณแก่พระเจ้าสุทโธทนะและบริษัท ยังความเลื่อมใสในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งที่พระองค์ยังเสด็จไปไม่ถึง ด้วยเหตุนี้ พระศาสดาจึงทรงยกย่องพระกาฬุทายีว่าเป็นผู้เลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายผู้ยังราชสกุลให้เลื่อมใส