1-46 อนาถบิณฑิกคหบดีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรก



บ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมืองสาวัตถี

อนาถบิณฑิกคหบดีเป็นน้องเขยของราชคหเศรษฐี ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีไปเมืองราชคฤห์ด้วยกรณียกิจบางอย่าง สมัยนั้น ราชคหเศรษฐีนิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น จึงได้สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายว่า

“พนาย พวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกันจัดหาอาหารที่มีรสอร่อย”

อนาถบิณฑิกคหบดีได้คิดว่า "เมื่อเรามาคราวก่อน ท่านคหบดีผู้นี้จัดทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว สนทนาปราศรัยกับเราผู้เดียว บัดนี้เขามีท่าทีเปลี่ยนไป สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายว่า พวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกันจัดหาอาหารที่มีรสอร่อย ๆ บางทีคหบดีผู้นี้จักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรือประกอบมหายัญ หรือจักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชพร้อมทั้งกองพลมาเลี้ยงในวันรุ่งขึ้นกระมัง”

ครั้นราชคหเศรษฐีสั่งทาสและกรรมกรแล้ว เข้าไปหาอนาถบิณฑิกคหบดี ได้นั่งสนทนากัน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อนาถบิณฑิกคหบดีได้ถามว่า

“ท่านคหบดี คราวก่อนเมื่อฉันมาแล้ว ท่านได้จัดทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้วก็สนทนากับฉันผู้เดียว บัดนี้ ท่านนั้นมัวสาละวนสั่งทาสและกรรมกร บางทีท่านคหบดีจักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรือประกอบมหายัญ หรือจักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชพร้อมทั้งกองพล มาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้กระมัง”

ราชคหเศรษฐีตอบว่า

“ท่านคหบดี ฉันจะได้มีงานอาวาหมงคล หรือวิวาหมงคลก็หาไม่ แม้พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชพร้อมทั้งกองพล ฉันก็มิได้เชิญเสด็จมาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ ที่ถูกคือ ฉันจะประกอบมหายัญ ฉันได้นิมนต์พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเพื่อเลี้ยงในวันพรุ่งนี้”

ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีกล่าวว่า “ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าหรือ”

“ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้า”

“ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าหรือ”

“ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้า”

“ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าหรือ”

“ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้า”

“ท่านคหบดี แม้เสียงว่า พุทธะ นี้ก็ยากที่จะหาได้ในโลก ท่านคหบดี ฉันสามารถจะเข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นในเวลานี้ได้ไหม”

“เวลานี้ยังไม่ควรที่จะเข้าเฝ้าเยี่ยม พรุ่งนี้ท่านจึงจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”

หลังจากนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีนอนนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ว่า "พรุ่งนี้ เราจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"



บริเวณป่าสีตวัน นครราชคฤห์

ในคืนนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีลุกขึ้นในกลางคืนถึงสามครั้งโดยเข้าใจว่าสว่างแล้ว จึงได้เดินไปโดยทางอันจะไปประตูป่าสีตวัน พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ ขณะเมื่อเดินออกจากพระนคร แสงสว่างได้หายไป ความมืดปรากฏแทน ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าได้บังเกิดแล้ว ท่านคหบดีจึงได้คิดกลับจากที่นั้น

ขณะนั้น สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง กล่าวขึ้นให้ได้ยินแต่เสียงโดยคาถา ว่าดังนี้

“ช้างหนึ่งแสน ม้าหนึ่งแสน รถม้าอัสดรหนึ่งแสน สาวน้อยประดับต่างหูเพชรหนึ่งแสนก็ยังไม่เท่า เสี้ยวที่ ๑๖ แห่งการย่างเท้าไปก้าวหนึ่ง เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี ท่านก้าวไปข้างหน้าดีกว่า อย่าถอยกลับเลย”

ทันใดนั้น ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิกคหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าอันใดได้มีแล้ว อันนั้นได้สงบแล้ว

แม้ครั้งที่ ๒... แม้ครั้งที่ ๓ แสงสว่างหายไป ความมืดได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิกคหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าได้บังเกิด ท่านคหบดีคิดจะกลับจากที่นั้นอีก

ครั้งที่สาม สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง กล่าวขึ้นให้ได้ยินแต่เสียงโดยคาถา ว่าดังนี้

“ช้างหนึ่งแสน ม้าหนึ่งแสน รถม้าอัสดรหนึ่งแสน สาวน้อยประดับต่างหูเพชรหนึ่งแสนก็ยังไม่เท่า เสี้ยวที่ ๑๖ แห่งการย่างเท้าไปก้าวหนึ่ง เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี ท่านก้าวไปข้างหน้าดีกว่า อย่าถอยกลับเลย”

แม้ครั้งที่สาม ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิกคหบดี

ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าอันใดได้มีแล้ว อันนั้นได้สงบแล้ว อนาถบิณฑิกคหบดีจึงเดินเข้าไปยังสีตวัน

 

 

อ้างอิง : พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๗ ข้อที่ ๒๔๑-๒๕๕ หน้า ๖๕-๗๐