นครราชคฤห์
สมัยหนึ่ง ปุ่มไม้แก่นจันทน์มีราคามากได้บังเกิดแก่เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ ราชคหเศรษฐีได้คิดว่า
"ถ้ากระไร เราจะให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นี้ ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็นทาน"
หลังจากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหรก แขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อ ๆ กันขึ้นไป แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
"สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรที่เราให้แล้วไปเถิด"
ขณะนั้น ปูรณะกัสสปเข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐี แล้วกล่าวว่า
"ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่อาตมาเถิด"
ท่านเศรษฐีตอบว่า
"ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด"
ต่อมา ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฏบุตร ได้เข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐี แล้วกล่าวว่า
"ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์ และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่อาตมาเถิด"
ท่านเศรษฐีตอบว่า
"ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด"
นครราชคฤห์ มองจากเขาคิชฌกูฏ
พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงฤทธิ์
สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภารทวาชะครองอันตรวาสในเวลาเช้า แล้วถือบาตร จีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะจึงได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า
"ไปเถิด ท่านโมคคัลลานะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน"
แม้ท่านพระโมคคัลลานะก็กล่าวกะท่านพระปิณโฑลภารทวาชะว่า
"ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน"
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะจึงเหาะขึ้นสู่เวหาส ถือบาตรนั้นเวียนไปรอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ
ครั้งนั้น ท่านราชคหเศรษฐีพร้อมกับบุตรภรรยายืนอยู่ในเรือนของตน ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวนิมนต์ว่า
"ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าภารทวาชะจงประดิษฐานในเรือนของข้าพเจ้านี้เถิด"
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะจึงประดิษฐานในเรือนของท่านราชคหเศรษฐี ท่านราชคหเศรษฐีรับบาตรจากมือของท่านพระปิณโฑลภารทวาชะแล้ว ได้จัดของเคี้ยวมีค่ามากถวายท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะได้รับบาตรนั้นไปสู่พระอาราม
ชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของราชคหเศรษฐี ไปแล้ว ชาวบ้านเหล่านั้นมีเสียงอึกทึกเกรียวกราว ติดตามพระปิณโฑลภารทวาชะไปข้างหลัง ๆ
พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับเสียงอึกทึกเกรียวกราว ครั้นแล้ว ตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า
"อานนท์ นั่นเสียงอึกทึกเกรียวกราวเรื่องอะไรกัน"
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐีลงแล้ว พวกชาวบ้านทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐีลง จึงพากันติดตามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะมาข้างหลัง ๆ อย่างอึกทึกเกรียวกราว พระพุทธเจ้าข้า
เสียงอึกทึกเกรียวกราวนี้ คือเสียงนั้น พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะว่า
"ภารทวาชะ ข่าวว่า เธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลงจริงหรือ"
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่า
"จริง พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
"ภารทวาชะ การกระทำของเธอนั่นไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน เธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า
มาตุคามแสดงของลับเพราะเหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นดุจซากศพ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพ"
"การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเสื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว"
ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดงต้องอาบัติทุกกฏ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ"
อ้างอิง : พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๗ ข้อที่ ๒๙-๓๓ หน้า ๑๐-๑๑