ทัศนียภาพเมืองเวสาลี
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน ในสักกชนบท ภายหลังกลับจากทะเลสาบอันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพวกนกดุเหว่า พระองค์ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ แล้วตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นมาด้วยคำว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมานั่ง เราจักบอกกรรมฐานแก่พวกเธอ ซึ่งยังมีกิเลสที่ควรฆ่าด้วยมรรค ๓ เบื้องบน"
ดังนี้ แล้วตรัสบอกกรรมฐาน
ภิกษุทั้งหลายคิดว่า
"พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงความที่พวกเรามีความไม่ยินดียิ่ง จึงทรงนำมายังทะเลสาบอันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพวกนกดุเหว่า ทรงบรรเทาความไม่ยินดี โดยตรัส กุณาลชาดก เมื่อพวกเราบรรลุโสดาปัตติผลในที่นั้นแล้ว บัดนี้ ได้ประทานกรรมฐานเพื่อบรรลุมรรค ๓ ที่ป่ามหาวันนี้
ก็การที่พวกเราให้เวลาผ่านไปโดยคิดว่า พวกเราเข้าถึงกระแสธรรมแล้ว ย่อมไม่สมควรเลย การที่พวกเราเป็นเช่นกับพวกชนทั้งหลายก็ไม่สมควร"
ภิกษุเหล่านั้น จึงถวายบังคมพระยุคลบาทพระศาสดาแล้ว ลุกขึ้น จับผ้านิสีทนะ (ผ้าสำหรับรองนั่ง) สะบัด แล้วปูนั่งในที่เฉพาะตน และนั่งแล้วที่โคนไม้ใกล้เงื้อมเขา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า
"ภิกษุเหล่านี้แม้โดยปกติก็ไม่ทิ้งการงาน แต่ชื่อว่าเหตุที่ทำให้ลำบากของภิกษุผู้ได้อุบายแล้ว ย่อมไม่มี
เมื่อภิกษุเหล่านี้แยกย้ายกันไปปฏิบัติ เริ่มตั้งวิปัสสนา บรรลุอรหัตแล้ว ก็จักมาสู่สำนักของเรา ด้วยประสงค์ว่า พวกเราจักบอกคุณวิเศษที่ตนแทงตลอดแล้ว
ครั้นเมื่อภิกษุเหล่านี้มาแล้ว พวกเทวดาในหมื่นจักรวาลจักประชุมกันในจักรวาลนี้ มหาสมัย คือ การประชุมใหญ่ จักมี เราจึงควรนั่งในโอกาสอันสงัด ดังนี้"
ลำดับนั้น จึงเสด็จประทับนั่ง ณ พุทธอาสนะในที่อันสงัด
พระเถระผู้ไปถือเอากรรมฐานก่อนภิกษุทั้งหมด บรรลุแล้วซึ่งพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ต่อจากนั้น ภิกษุอีกทีละรูปก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา จนครบ ๕๐๐ รูป เหมือนดอกปทุมทั้งหลายขยายออกไปจากกอปทุม
ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตรูปแรก คิดว่า
"เราจักกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า"
ท่านจึงแยกบัลลังก์แล้วลุกขึ้น จับผ้านิสีทนะสะบัด แล้วได้มุ่งหน้าไปสู่พระทศพล ภิกษุรูปอื่นก็กระทำด้วยอาการอย่างนั้นจนครบ ๕๐๐ รูป
ภิกษุผู้มารูปแรกถวายบังคมแล้ว ปูผ้านิสีทนะ แล้วก็นั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ประสงค์จะบอกคุณวิเศษที่ตนแทงตลอดแล้ว และเหลียวกลับแลดูทางที่ตนมา ด้วยคิดว่า
"ใคร ๆ อื่นมีอยู่หรือไม่หนอ"
ดังนี้ ไม่เห็นบุคคลอื่นเลย ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดมาแล้ว นั่งแล้ว ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ๆ
ภิกษุนี้มาแล้วก็ไม่บอกแก่ภิกษุนี้ แม้ภิกษุนี้มาแล้วก็ไม่บอกแก่ภิกษุนี้เหมือนกัน ได้ยินว่าอาการ ๒ อย่าง ย่อมมีแก่พระขีณาสพทั้งหลาย คือ
ท่านยังจิตให้เกิดขึ้นว่า สัตว์โลกพร้อมทั้งเทวโลกพึงแทงตลอดซึ่งคุณอันเราแทงตลอดได้โดยพลันเหมือนกันเถิด
และพระขีณาสพทั้งหลายย่อมไม่ประสงค์จะบอกคุณวิเศษแก่กันและกัน เหมือนบุรุษผู้ได้ขุมทรัพย์แล้ว ไม่บอกขุมทรัพย์อันตนรู้เฉพาะแล้วนั้น
ก็ครั้นเมื่ออริยมณฑล คือ มรรคอันยังผลให้เกิดขึ้นอย่างนี้ เกิดขึ้นแล้ว มณฑลแห่งพระจันทร์เพ็ญก็ปราศจากเครื่องเศร้าหมองเหล่านี้ คือ หมอก น้ำค้าง ควันไฟ ธุลี และราหู (เจ้าแห่งพวกอสูร) โดยรอบเทือกเขายุคันธรแห่งทิศปราจีน อันประกอบด้วยสิริ ดุจล้ออันสำเร็จด้วยเงินที่บุคคลจับให้หมุนไปอยู่ โลดแล่นขึ้นดำเนินไปสู่กลางหาว (ท้องฟ้า) เหมือนมณฑลแห่งแว่นแคว้นใหญ่ อันสำเร็จแล้วด้วยเงิน ที่ยกขึ้นไว้ทางทิศปราจีน เพื่อแสดงถึงสิ่งซึ่งเป็นที่น่าเพลิดเพลินของโลกที่ประดับด้วยพุทธุปบาทนี้ ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ชั่วขณะหนึ่งกับหมู่แห่งภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูป
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุบัติขึ้นในวงศ์แห่งพระเจ้ามหาสมมต แม้พวกภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ก็เกิดในตระกูลของพระเจ้ามหาสมมต
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเกิดในครรภ์แห่งกษัตริย์ แม้ภิกษุเหล่านั้นก็เกิดในครรภ์แห่งกษัตริย์
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นราชบรรพชิต แม้ภิกษุเหล่านั้นก็เป็นราชบรรพชิต
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเศวตฉัตร สละความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอันอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ ผนวชแล้ว แม้ภิกษุเหล่านั้นก็ละเศวตฉัตร สละความเป็นพระราชาทั้งหลายอันอยู่ในเงื้อมมือ บวชแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วโดยพระองค์เอง ในโอกาสอันบริสุทธิ์แล้ว ในส่วนแห่งราตรีอันบริสุทธิ์แล้ว ทรงมีบริวารอันบริสุทธิ์แล้ว
ทรงมีราคะปราศจากไปแล้ว มีบริวารซึ่งมีราคะปราศจากไปแล้ว
มีโทสะปราศจากไปแล้ว มีบริวารซึ่งมีโทสะปราศจากไปแล้ว
มีโมหะปราศจากไปแล้ว มีบริวารซึ่งมีโมหะปราศจากไปแล้ว
มีตัณหาออกแล้ว มีบริวารผู้มีตัณหาออกแล้ว
ไม่มีกิเลส มีบริวารผู้ไม่มีกิเลส
ทรงสงบระงับแล้ว มีบริวารผู้สงบระงับแล้ว
ทรงฝึกดีแล้ว มีบริวารที่ฝึกดีแล้ว
ทรงเป็นผู้พ้นแล้ว มีบริวารผู้พ้นแล้ว จึงรุ่งโรจน์ยิ่งในป่าใหญ่นั้น ดังนี้
อ้างอิง : อรรถกถา มหาสมัยสูตร