9-04 ตรัสเวรุปสมคาถาแก่ภิกษุที่วิวาทกัน



เมืองโกสัมพี

ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตร จีวร เสด็จเข้าพระนครโกสัมพีเพื่อบิณฑบาต เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครโกสัมพีแล้ว ครั้นเวลาบ่าย เสด็จกลับจากบิณฑบาต ทรงเก็บเสนาสนะ ถือบาตร จีวร ประทับยืนท่ามกลางพระสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ว่าดังนี้

เวรุปสมคาถา

ภิกษุมีเสียงดังเป็นเสียงเดียวกัน
จะได้สำคัญตัวว่าเป็นพาล ไม่มีเลยสักรูปเดียว
ยิ่งเมื่อสงฆ์แตกกัน ก็ไม่ได้สำคัญเหตุอื่น

ภิกษุทั้งหลายลืมสติ สำคัญตัวว่าเป็นบัณฑิต
ช่างพูด เจ้าคารม พูดไปตามที่ตนปรารถนา
จะยื่นปากพูด ไม่รู้สึกว่าความทะเลาะเป็นเหตุชักพาไป

ก็คนเหล่าใดจองเวรไว้ว่า
คนโน้นด่าเรา ตีเรา ชนะเรา
ได้ลักสิ่งของของเราไป
เวรของคนเหล่านั้นย่อมไม่สงบ

ส่วนคนเหล่าใดไม่จองเวรไว้ว่า
คนโน้นด่าเรา ตีเรา ชนะเรา
ได้ลักสิ่งของของเราไป
เวรของคนเหล่านั้นย่อมสงบ

แต่ไหนแต่ไรมา
เวรทั้งหลายในโลกนี้ย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย
แต่ย่อมระงับเพราะไม่จองเวร
ธรรมนี้เป็นของเก่า

ก็คนเหล่าอื่นไม่รู้สึกว่า พวกเรากำลังยับเยิน
ณ ท่ามกลางสงฆ์นี้
ส่วนคนเหล่าใดในท่ามกลางสงฆ์นั้น รู้สึก
เพราะความรู้สึกของคนเหล่านั้น
ความหมายมั่นย่อมระงับ

คนเหล่าใดบั่นกระดูก ผลาญชีวิต ลักทรัพย์
คือ โค และม้า
คนเหล่านั้นถึงช่วงชิงแว่นแคว้นกัน
ก็ยังคบหาสมาคมกันได้
เหตุไฉน พวกเธอจึงคบหาสมาคมกันไม่ได้เล่า

ถ้าบุคคลพึงได้สหายมีปัญญา เที่ยวไปด้วยกัน
เป็นนักปราชญ์คอยช่วยเหลือกัน
เขาครอบงำอันตรายทั้งปวงเสียได้
พึงพอใจ มีสติเที่ยวไปกับสหายนั้น

ถ้าไม่ได้สหายมีปัญญา เที่ยวไปด้วยกัน
เป็นนักปราชญ์คอยช่วยเหลือกัน
พึงเที่ยวไปคนเดียว
ดุจพระราชาทรงสละแว่นแคว้น คือ ราชอาณาจักร
และดุจช้างมาตังคะ ละฝูงเที่ยวไปในป่า ฉะนั้น

การเที่ยวไปคนเดียวดีกว่า
เพราะคุณเครื่องเป็นสหาย ไม่มีในคนพาล
พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่พึงทำบาป
ดุจช้างมาตังคะ มีความขวนขวายน้อย
เที่ยวไปในป่าแต่ลำพัง ฉะนั้น

 

อ้างอิง : พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๕ ข้อที่ ๒๔๖-๒๔๗ หน้า ๒๖๒-๒๖๓