ถ้าปิปผลิคูหา นครราชคฤห์
สมัยนั้น ท่านพระมหากัสสปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารา ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปแวะออกจากทาง แล้วนั่งพักที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง
สมัยนั้น อาชีวกคนหนึ่งถือดอกมณฑารพในเมืองกุสินารา เดินทางไกลมาสู่เมืองปาวา ท่านพระมหากัสสปได้เห็นอาชีวกนั้นมาแต่ไกล จึงถามอาชีวกนั้นว่า
“ดูกรผู้มีอายุ ท่านทราบข่าวพระศาสดาของเราบ้างหรือ”
อาชีวกนั้นตอบว่า
“อย่างนั้นผู้มีอายุ เราทราบอยู่ พระสมณโคดมปรินิพพานเสียแล้วได้ ๗ วัน เข้าวันนี้ ดอกมณฑารพนี้ เราถือมาจากที่นั้น"
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดยังไม่ปราศจากราคะ ภิกษุเหล่านั้นบางพวกประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาดุจมีเท้าอันขาดแล้ว รำพันว่า
"พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก อันตรธาน เสียเร็วนัก" ดังนี้
ส่วนภิกษุเหล่าใด ปราศจากราคะแล้ว ภิกษุเหล่านั้น มีสติสัมปชัญญะ อดกลั้นด้วยธรรมสังเวชว่า
"สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น เหล่าสัตว์จะพึงได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน”
สมัยนั้น บรรพชิตผู้บวชเมื่อแก่นามว่า สุภัททะ นั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วย ครั้งนั้น สุภัททวุฒบรรพชิตได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า
“อย่าเลยอาวุโส พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พวกเราพ้นดีแล้ว ด้วยว่าพระมหาสมณะนั้นเบียดเบียนพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่งใด ก็จักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่กระทำสิ่งนั้น”
ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
“อย่าเลยอาวุโส พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน
สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้”
อ้างอิง : มหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ ข้อที่ ๑๕๔-๑๕๕ หน้า ๑๒๙-๑๓๐