19-04 พระองคุลิมาลบรรลุพระอรหัต



ภายในบริเวณเชตวันวิหาร นครสาวัตถี

ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาลหลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว

เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ไม่นานนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุด พรหมจรรย์อันไม่มีธรรมอื่น ยิ่งกว่าที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันแล้ว เข้าถึงอยู่ ได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีก มิได้มี ดังนี้

ก็ท่านพระองคุลิมาลได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระองคุลิมาลนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ก็เวลานั้นก้อนดิน ท่อนไม้ ก้อนกรวดที่บุคคลขว้างไป แม้โดยทางอื่นก็มาตกลงที่กายของท่านพระองคุลิมาล

ท่านพระองคุลิมาลศีรษะแตก โลหิตไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล  

ครั้นแล้ว ได้ตรัสกะท่านพระองคุลิมาลว่า


“เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์ เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุจะให้เธอพึงหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดปี ตลอดร้อยปี ตลอดพันปีเป็นอันมาก ในปัจจุบันนี้เท่านั้น”

พระองคุลิมาลเปล่งอุทาน

ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาลไปในที่ลับเร้นอยู่ เสวยวิมุติสุข เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

“ก็ผู้ใด เมื่อก่อนประมาท
ภายหลังผู้นั้นไม่ประมาท
เขาย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
ดังพระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น

ผู้ใดทำกรรมอันเป็นบาปแล้ว
ย่อมปิดเสียได้ด้วยกุศล
ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
ดุจพระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น

ภิกษุใดแล ยังเป็นหนุ่ม
ย่อมขวนขวายในพระพุทธศาสนา
ภิกษุนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
ดุจพระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น

ขอศัตรูทั้งหลายของเรา
จงฟังธรรมกถาเถิด
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา
จงขวนขวายในพระพุทธศาสนาเถิด
ขอมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นศัตรูของเรา
จงคบสัตบุรุษผู้ชวนให้ถือธรรมเถิด

ขอจงคบความผ่องแผ้วคือ ขันติ
ความสรรเสริญคือ เมตตาเถิด
ขอจงฟังธรรมตามกาล
และจงกระทำตามธรรมนั้นเถิด
ผู้ที่เป็นศัตรูนั้น ไม่พึงเบียดเบียนเราหรือใคร ๆ อื่นนั้นเลย

ผู้ถึงความสงบอย่างยิ่งแล้ว
พึงรักษาไว้ซึ่งสัตว์ที่สะดุ้งและที่มั่นคง

คนทดน้ำ ย่อมชักน้ำไปได้
ช่างศร ย่อมดัดลูกศรได้
ช่างถาก ย่อมถากไม้ได้ ฉันใด
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมทรมานตนได้ ฉันนั้น

คนบางพวก ย่อมฝึกสัตว์ด้วยท่อนไม้บ้าง
ด้วยขอบ้าง ด้วยแส้บ้าง
เราเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงฝึกแล้ว
โดยไม่ต้องใช้อาญา ไม่ต้องใช้ศาตรา

เมื่อก่อน เรามีชื่อว่า อหิงสกะ
แต่ยังเบียดเบียนสัตว์อยู่
วันนี้ เรามีชื่อตรงความจริง
เราไม่เบียดเบียนใคร ๆ เลย

เมื่อก่อน เราเป็นโจร ปรากฏชื่อว่า องคุลิมาล
ถูกกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่พัดไปมา
ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว

เมื่อก่อนเรามีมือเปื้อนเลือด
ปรากฏชื่อว่า องคุลิมาล
ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
จึงถอนตัณหาอันจะนำไปสู่ภพเสียได้
เรากระทำกรรมที่จะให้ถึงทุคติเช่นนั้นไว้มาก
อันวิบากของกรรมถูกต้องแล้ว
เป็นผู้ไม่มีหนี้ บริโภคโภชนะ

พวกชนที่เป็นพาล ทรามปัญญา
ย่อมประกอบตามซึ่งความประมาท
ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลาย
ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้
เหมือนทรัพย์อันประเสริฐ ฉะนั้น

ท่านทั้งหลาย
จงอย่าประกอบตามซึ่งความประมาท
อย่าประกอบตามความชิดชม
ด้วยสามารถความยินดีในกาม
เพราะว่าผู้ไม่ประมาทแล้ว เพ่งอยู่
ย่อมถึงความสุขอันไพบูลย์

การที่เรามาสู่พระพุทธศาสนานี้นั้น เป็นการมาดีแล้ว ไม่ปราศจากประโยชน์ ไม่เป็นการคิดผิด บรรดาธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกไว้ดีแล้ว เราก็ได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดแล้ว (นิพพาน) การที่เราได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดนี้นั้น เป็นการถึงดีแล้ว ไม่ปราศจากประโยชน์ ไม่เป็นการคิดผิด วิชชา ๓ เราบรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำแล้วดังนี้”

 

 

อ้างอิง : อังคุลิมาลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ ข้อที่ ๕๓๒-๕๓๔ หน้า ๓๖๕-๓๖๗