17-02 พระผู้มีพระภาคทรงให้พระสารีบุตรลงปกาสนียกรรมพระเทวทัต



ภายในถ้ำสูกรขาตา เขาคิชฌกูฏ

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงลงปกาสนียกรรม (กรรมอันเป็นเครื่องประกาศ)ในกรุงราชคฤห์แก่เทวทัตว่า

ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น พึงเห็นว่าเป็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง

กรรมวาจาทำปกาสนียกรรม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงทำอย่างนี้

ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้

 



นครราชคฤห์

ท่านเจ้าข้า ขอพระสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงทำปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่พระเทวทัตว่า

ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใด ด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น พึงเห็นว่าเป็นเฉพาะตัวเทวทัตเอง

นี้เป็นญัตติ

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ทำปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่พระเทวทัต การทำปกาสนียกรรมแก่พระเทวทัตชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด

ปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์ อันสงฆ์กระทำแล้วแก่พระเทวทัต ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง

ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้”

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านพระสารีบุตรว่า

“ดูกรสารีบุตร ถ้ากระนั้นเธอจงประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์”

ท่านพระสารีบุตรทูลถามว่า

“เมื่อก่อนข้าพระพุทธเจ้ากล่าวชมพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า โคธิบุตรมีฤทธิ์มาก โคธิบุตรมีอนุภาพมาก ข้าพระพุทธเจ้าจะประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”

“ดูกรสารีบุตร เธอกล่าวชมเทวทัตในกรุงราชคฤห์เท่าที่เป็นจริงว่า โคธิบุตรมีฤทธิ์มาก โคธิบุตรมีอนุภาพมาก”

อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

ดูกรสารีบุตร เธอจงประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์เท่าที่เป็นจริงเหมือนอย่างนั้นแล”

ท่านพระสารีบุตรทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงสมมติสารีบุตรเพื่อประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์”


กรรมวาจาสมมติ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้

พึงขอร้องสารีบุตรก่อน ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้

“ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติท่านพระสารีบุตรเพื่อประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า

ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใด ด้วยกาย วาจา

ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น พึงเห็นว่าเป็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง นี้เป็นญัตติ

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติท่านพระสารีบุตรเพื่อประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์

การสมมติท่านพระสารีบุตรเพื่อประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง

ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด”

ท่านพระสารีบุตรอันสงฆ์สมมติแล้ว เพื่อประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ ไว้ด้วยอย่างนี้”

พระสารีบุตรทำปกาสนียกรรม

ก็ท่านพระสารีบุตรได้รับสมมติแล้ว จึงเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์พร้อมกับภิกษุมากรูป แล้วได้ประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า

“ปกติของพระเทวทัต ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่า พระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น พึงเห็นว่าเป็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง”

ประชาชนในกรุงราชคฤห์นั้น พวกที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ไร้ปัญญา ต่างกล่าวอย่างนี้ว่า

“พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้เป็นคนริษยา ย่อมกีดกันลาภสักการะของพระเทวทัต”

ส่วนประชาชนพวกที่มีศรัทธา เลื่อมใส เป็นบัณฑิต มีปัญญาดี กล่าวอย่างนี้ว่า

“เรื่องนี้คงจักไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์”

 

อ้างอิง : ปกาสนียกรรม พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๗ ข้อที่ ๓๖๒-๓๖๕ หน้า ๑๑๕-๑๑๗