พุทธคยา
สมัยนั้น มารผู้มีบาปคิดว่า
"สิทธัตถกุมารต้องการจะล่วงพ้นอำนาจของเรา ก็บัดนี้ เราจะไม่ให้สิทธัตถกุมารล่วงพ้นอำนาจของเราไปได้"
จึงพาพลมารออกไป เทวบุตรมารต่างนิรมิตอาวุธ พากันจู่โจมพระโพธิสัตว์
เทวดาในหมื่นจักรวาล มีท้าวสักกะ พญามหากาฬนาค ท้าวมหาพรหม ยืนกั้นเศวตฉัตรอยู่ เมื่อพลมารเข้ามาใกล้โพธิมัณฑ์ เทพเหล่านั้นก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ มีแต่พระมหาบุรุษองค์เดียวเท่านั้นประทับอยู่ พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า
"ในที่นี้ไม่มีสิ่งใด ๆ อื่น แต่บารมี ๑๐ นี้ เท่านั้น เป็นเสมือนบริวารชนที่เราชุบเลี้ยงไว้ตลอดกาลนาน เราควรทำบารมีให้เป็นยอดของหมู่พล เอาศาสตราคือบารมี เป็นเครื่องประหาร กำจัดหมู่พลมารนี้"
แล้วทรงรำพึงถึงบารมี ๑๐
มารนั้นไม่สามารถให้พระโพธิสัตว์เสด็จหนีไปด้วยลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนเครื่องประหาร ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าฝนเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และความมืด ทั้ง ๙ ประการนี้ จึงถืออาวุธแล้วเข้าไปใกล้ แล้วกล่าวว่า
“ท่านจงลุกจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้ถึงแก่เรา”
พุทธคยา
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
“ดูกรมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ ไม่ได้บำเพ็ญอุปบารมี ๑๐ ทัศ ปรมัตถบารมี ๑๐ ทัศ
ท่านไม่ได้บำเพ็ญมหาบริจาค ๕ ญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา พุทธัตถจริยา ทั้งหมดนั้น เราเท่านั้นบำเพ็ญแล้ว บัลลังก์ที่ถึงในวันนี้ เป็นที่ตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ย่อมถึงแก่เรา
ดูกรมาร ในภาวะที่ท่านได้ให้ทาน ใครเป็นสักขีพยาน”
มารเหยียดมือไปตรงหน้าพลมาร แล้วกล่าวว่า
“คนเหล่านี้แลเป็นพยาน สิทธัตถะ
ในภาวะที่ท่านให้ทานไว้แล้ว ใครเป็นสักขีพยาน”
พุทธคยา
พระมหาบุรุษตรัสว่า
“ในภาวะที่เราให้ทาน ตนผู้มีจิตใจเป็นพยาน ทานที่เราให้ในอัตภาพอื่น ๆ จงยกไว้ก่อน ในภาวะที่เราดำรงอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ได้ให้สัตตสตกมหาทาน ปฐพีเป็นสักขีพยาน”
เมื่อนั้น ปฐพีได้บันลือลั่นเหมือนจะท่วมทับพลมารทั้งสิ้น
พลมารทั้งสิ้นพากันละทิ้ง แล้วหนีไปทางทิศต่าง ๆ นั่นเอง แต่นั้น หมู่เทพทั้งหลายจึงพากันมาห้อมล้อมพระโพธิสัตว์ในที่นั้น เมื่อพระอาทิตย์ยังทอแสงอยู่ พระมหาบุรุษทรงกำจัดมารและเสนามารได้หมดสิ้น
ลำดับนั้น ทรงระลึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยาม
ทรงบรรลุทิพยจักษุในมัชฌิมยาม
ทรงหยั่งพระญาณลงในปฏิจจสมุปบาทในปัจฉิมยาม
ครั้นเมื่อพระมหาบุรุษทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ ๑๒ ด้วยอำนาจวัฏฏะและวิวัฏฏะ หมื่นโลกธาตุได้ไหวถึง ๑๒ ครั้ง ทรงรู้แจ้ง ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณในเวลาอรุณขึ้น ทรงเปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละว่า
"เราแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร มีชาติเป็นอเนกจำนวนมาก ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ แน่ะ นายช่างผู้สร้างเรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจะสร้างเรือนอีกไม่ได้ ซี่โครงทุกซี่ของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เพราะเราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว"
อ้างอิง : อวิทูเรนิทาน